
จริงอยู่ที่ว่ามันเป็นสิ่งสมมุติ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการบาลานซ์สิ่งสมมุติกับสภาวะความเป็นจริงและชีวิตของแต่ละคนยังไงโดยไม่ผลักไสหรือไหลตามสิ่งสมมุตินั้นๆ เราออกกำลังกายเพื่ออะไร กินแบบนี้ไม่เพื่ออะไร เป้าหมายชีวิตคืออะไร ความฝันคืออะไร ทำไมเราถึงมีนิสัยแบบนี้ แม้แต่ความหงุดหงิดและอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นมาก็ตาม ทุกสิ่งล้วนก็ถูกสมมุติขึ้นมาทั้งหมด แต่มนุษย์ต่างออกไปตรงที่เราสามารถสร้างความหมายให้กับสิ่งสมมุติได้ ทั้งในแง่ให้คุณและให้โทษ ประโยคที่คุณว่า "คงมีแต่มนุษย์อันเป็นสัตว์ประเสริฐนี่แหละที่โง่พอจะตกหลุมพรางที่เราเป็นคนขุดขึ้นมาเอง" นั้นก็บอกได้ว่าความหมายต่อสิ่งสมมุติที่ผู้คนสร้างขึ้นมานั้นอยู่ในระดับไหน ถ้ายิ่งต้องการความเข้าใจความเป็นจริงของโลกผ่านการศึกษาละทิ้งสิ่งสมมุติออกไปทีละชั้นด้วยสติและปัญญา คนผู้นั้นก็ใกล้หางจากหลุมพรางที่ตนเองขุดมาแต่ต้น หรือแม้กระทั่งตระหนักได้ว่ามันไม่มีหลุมที่ขุดขึ้นมาตั้งแต่แรกหรือการมีอยู่ของอัตตาตัวตนที่เป็นผู้ขุดหลุมนั้นเลย ปลาไม่เคยหลับตาแต่ก็ยังติดเบ็ด ดังนั้น "ตา" อย่างเดียวไม่พอ มันต้องมี "สติ+ปัญญา" ด้วย แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเข้าใจได้ผ่านตัวหนังสือ คำบอกเล่า แต่มันคือการเดินทางฝึกฝนจิตใจตัวเอง ซึ่งผมเองก็พึ่งเริ่มที่จะเดินทางและอ่อนประสบการณ์อย่างมาก แต่ท้ายที่สุดแล้วสิ่งสมมุติที่คุณสร้างขึ้นมาและยึดถือไว้มันทำให้ใจเราหนักขึ้นหรือเบาลง สถาวะเหล่านี้จะตอบเราเองโดยที่เราไม่สามารถไปควบคุมมันได้ และเราจะทำอย่างไรต่อไปกับสภาวะที่เกิดขึ้นในใจก็เป็นเรื่องของปัจเจก คำตอบมันไม่ได้อยู่ในหนังสือหรือทฤษฏี แต่มันอยู่ใน การเห็นใจตัวเองในแต่ละขณะ สิ่งนี้แหละที่ทำให้มันสวยงามแม้มันจะหลงทาง มีความเจ็บปวดและความทุกข์ปนอยู่บ้างก็ตาม สิ่งนี้ก็เป็นเพียงแนวคิดทางเลือกจากหลายความเป็นไปได้ที่สอดคล้องกับความเป็นจริงของโลกอยู่บ้าง หวังว่าสิ่งนี้มันจะช่วยให้คุณได้ค้นพบหรือตั้งคำถามบางอย่างในชีวิตจากมุมมองของคุณเองที่หล่อหลอมจากความเป็นมนุษย์ที่ตั้งอยู่บนความไม่สมบูรณ์แบบนะครับ 🙂