spacestr

🔔 This profile hasn't been claimed yet. If this is your Nostr profile, you can claim it.

Edit
_
Member since: 2025-09-03
_
_ 11d

Yes, a simple one is the most powerful, and this could relate to most of the Bitcoin's aspects, such as the code and else.

_
_ 12d

ครบรอบ 15 ปี "#Bitcoin Logo Day" !!! 🎉 วันกำเนิดโลโก้ #BTC ที่ใช้กันมาจนวันนี้ 🎂 วันนี้ (1 พ.ย.) แต่เป็นเมื่อปี 2010 ถือเป็น... วันเกิดโลโก้ Bitcoin สีส้มอ้วนกลมที่ใช้กัน ซึ่งมันก็คือโลโก้อันปัจจุบันนี้แหละ !!! 🥳 ภาพโลโก้ BTC ที่พวกเราใช้กันทุกวันนี้นั้น... ถูกสร้างขึ้นและเผยแพร่โดยศิลปินท่านหนึ่ง ที่ใช้นามแฝงบนโลกออนไลน์ว่า "bitboy" ซึ่งเป็นนามแฝงบนเว็บ Bitcointalk forum ซึ่งก็คือเว็บที่โลโก้นี้ถูกเผยแพร่ครั้งแรก 🖼 โลโก้นี้ถูกระบุรายละเอียดต่าง ๆ ไว้ชัดเจน เช่น "ภาพนี้ปรับเอียง 14% ตามเข็มนาฬิกา" เป็นภาพตัดพื้นหลังโปร่งใส สกุลไฟล์ PNG ก่อนที่จะมีแบบ vector ให้โหลดภายหลัง มีลองวางให้ดูทั้งบนพื้นหลังสว่างและมืด 😲 และในหัวข้อกระทู้เดียวกันที่โพสต์เอาไว้... bitboy ก็ยังแปะภาพอื่น ๆ อีกมากมายเลย ตัวอย่าง เช่น "Bitcoin Accepted Here", "Love Bitcoin", และ "Bitcoin wallet" 👏 แต่ภาพที่ชุมชนชอบมาก เสียงตอบรับดีสุด จนถูกยกให้เป็นภาพแบรนด์ดิ้งของ Bitcoin ที่ "ดีที่สุดตลอดกาล" ก็คือ "Bitcoin Logo" และมันก็ถูกใช้งานมาจนถึงวันนี้นั่นเอง ! 💖 นี่ก็คือที่มาของภาพโลโก้ Bitcoin นั่นเอง เหรียญสีส้ม กลม ๆ ที่เอียงตามเข็ม 14% กระทู้ดังกล่าวยังอยู่เลยนะสหาย ไปดูได้ เดี๋ยวแปะวาร์ปให้ แค่ภาพอาจหายหมด... คงหมดอายุ ไม่ก็เซิร์ฟเวอร์ที่รับฝากภาพ คงจะปิดตัวหรือบินไปแล้ว ไม่แน่ใจแฮะ หวังว่าจะอ่านสนุกนะ ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙‍♂️ #พ่อมดคริปโต #siamstr

#bitcoin #btc #พ่อมดคริปโต #siamstr
_
_ 12d

ครบรอบ 49 ปี !!! วันกำเนิด Public/Private Key !!! ถ้าไม่มีสิ่งนี้ #Bitcoin และคริปโตก็ไม่เกิด 👏 1 พ.ย. ของทุกปี ถูกตั้งให้เป็นวัน "Diffie-Hellman day" เพื่อรำลึกถึง Whitfield Diffie และ Martin E. Hellman ผู้ริเริ่มแนวคิดเรื่องคู่ Public Key และ Private Key ซึ่งมันทำให้ศาสตร์ Cyptography ก้าวผ่านกำแพงด่านสำคัญของมนุษยชาติมาได้จนวันนี้ !!! คารวะจากใจจริงขอรับ 🙏 ในสมัยก่อน ศาสตร์ Cryptography เคยติดปัญหาใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา นั่นคือการที่ "ผู้รับและผู้ส่ง ต้องใช้ Secret Key เดียวกัน" 🗝 Secret Key เปรียบเสมือนเป็น "กุญแจลับ" ที่ใช้สำหรับ "เข้ารหัสข้อความ" (encrypt) ดังนั้นหากเราอยากจะสื่อสารกับใครแบบลับ ๆ เราจำเป็นจะต้องมี Secret Key เพื่อใช้เข้ารหัสข้อความเสียก่อน 👍 แต่ประเด็นคือ... ไอเจ้า Secret Key มันดันจำเป็นต้องใช้เพื่อ "ถอดรหัสข้อความ" (decrypt) ด้วยเช่นกัน !!! ดังนั้นถ้าอีกฝ่ายไม่มี Secret Key ของเรา ก็จะไม่สามารถอ่านข้อความที่เราสื่อสารไปหาได้ !!! เอ้า !!! ง่าย ๆ คือคนสองคนจะต้องใช้ Secret Key เดียวกัน เพื่อเข้ารหัสข้อความและถอดรหัสข้อความกันไปมา ไม่เช่นนั้นก็จะไม่สามารถสื่อสารกันลับ ๆ สองคนได้ (แค่ฟังก็นึกภาพงานงอกออกเต็มเลย) 🤣 ตอนนี้ถ้าให้เห็นภาพง่าย ๆ ... เราต้องใช้ Secret Key ในการล็อค และต้องใช้มันในการปลดล็อคด้วยเช่นกัน ตอนนี้จึงเหมือน Secret Key มันเป็นทั้ง "แม่กุญ+ลูกกุญแจ" ในอันเดียว ถ้าเราอยากสื่อสารกับใคร ก็ต้องยอมให้เขารู้ Secret Key ของเราด้วย ทีนี้พอจะจินตนาการปัญหาที่จะตามมาได้ไหมสหาย ? 🙃 ❌ ปัญหาที่ตามมา คือ... ก็ในเมื่อทั้งผู้รับและผู้ส่งมี Secret Key เดียวกัน หมายความว่าเขาก็จะแอบอ่านข้อความที่เราคุยกับคนอื่นโดยใช้ Secret Key นี้ได้เช่นกัน (ถ้าเราแบ่ง Secret Key ให้คนอื่นใช้มากกว่า 1 คน) นี่คือปัญหาแรก !!! ❌ ไม่พอนะ... เราจะไว้ใจได้ยังไง ว่าผู้รับจะเอา Secret Key เราไปเพื่อใช้ถอดรหัสอ่านข้อความอย่างเดียว ในเมื่อมันคือ Secret Key เดียวกันกับที่เขาสามารถใช้เข้ารหัสข้อความและเป็นผู้ส่งได้เหมือนกัน ผู้รับจึงจะแกล้งตีเนียนเป็นผู้ส่งก็ได้ ส่งข้อความและตีเนียนเป็นอีกฝ่ายหนึ่งก็ได้ ก็ไม่รู้อยู่แล้วนิว่าใครรับใครส่ง เพราะคนเข้ารหัสกับคนถอดรหัสมันคือคนที่มี Secret Key เดียวกัน ทีนี้... ถ้าโลกยังฝืนดันทุรังใช้ศาสตร์ Cyptography ที่มีช่องโหว่ใหญ่ขนาดนี้กันต่อไป จนถึงขั้นเข้าสู่ยุค Cryptocurrency ขึ้นมา ไม่อยากจะนึกภาพเลย... ในโลกที่คนโอนเงินและคนรับเงินต้องใช้ Secret Key เดียวกัน 😱 ผู้รับเงินที่รู้ Secret Key ของผู้โอน ก็จะสามารถใช้จ่ายเงินในกระเป๋าได้โดยไม่ต้องขออนุญาต สามารถเซ็นธุรกรรมต่าง ๆ หรือ Sign Smart Contract ใด ๆ ก็ได้ จะโยกเงินเราไปที่อื่นเล่น ๆ ยังไงก็ได้ อลม่านกันหมดแน่นอนทีนี้ ต้องขอบคุณนักนวัตกรรมยุคก่อน ๆ ที่ใส่ใจกับปัญหานี้ ไม่ทู่ซี้จะมองข้ามปัญหาและพัฒนาอะไรต่อไปมั่ว ๆ ซั่ว ๆ (เข้าใจเนอะว่าจะสื่ออะไร หึหึ...) เราจึงไม่ต้องประสบกับพหุจักรวาลนั้นกัน ฮู้เร่ !!! 55555555 🌌 และต้องขอขอบคุณ Diffie และ Hellman ที่ริเริ่ม "คู่ Public Key และ Private Key" ขึ้นมา ✅ โดยทั้ง Public Key และ Private Key จะมีความเชื่อมโยงกันในเชิงคณิตศาสตร์ ก็เลยเป็นที่มาที่หลายคนกลัวจะโดน Quantum Computer ย้อนรอยหา Private Key กันหนักหนานั่นแหละ คือมันก็ไม่ใช่ว่ามันไม่มีความเสี่ยงหรอก ตอนนี้มันยังมี แต่ขอไม่พูดเรื่องนี้แล้วนะ ขี้เกียจจะตอบแล้ว แหะ ๆ 😅 โดย Public Key จะมีไว้ใช้ encrypt ได้อย่างเดียว แต่ไม่สามารถใช้ decrypt ได้ เราจึงสามารถส่งในพื้นที่สาธารณะหรือให้ใครรับรู้ก็ได้ โดยไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยในเชิงการเข้ารหัส เพราะต่อให้คนนอกเห็น "แม่กุญแจ" ของเรา แต่เขาก็ไม่มีอะไรมาไข ส่วน Private Key ที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือน "ลูกกุญแจ" อันนี้เราต้องเก็บไว้ให้ปลอดภัย เรารู้ได้คนเดียว ไม่ต้องทะลึ่งบ้องไปแชร์ให้ใครทั้งนั้น 🔐 ด้วยเหตุนี้ ศาสตร์ Cyptography จึงแก้ปัญหาคอขวดในอดีตได้ และทำให้เราได้มี #BTC รวมถึงพวกเหรียญคริปโตอื่น ๆ ใช้กันจนปัจจุบันนี้นั่นเองงงง ขอบคุณฮ้าฟฟู่ววว 🎉 และหากย้อนไปยังวันที่เปเปอร์เรื่องนี้ถูกปล่อยออกมา (1 พ.ย. 1976) วันนี้ก็ถือเป็นวันครบรอบ 49 ปีแล้ว หวังว่าจะอ่านสนุกกันนะสหาย ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙‍♂️ #พ่อมดคริปโต #siamstr

#bitcoin #btc #พ่อมดคริปโต #siamstr
_
_ 13d

ฉลอง 17 ปี #Bitcoin Whitepaper Day ด้วย 17 Fun Facts เกี่ยวกับ Bitcoin White Paper !!! 🤩 🗓️ 1. วันนี้ เป็นวันครบรอบ 17 ปี ที่ White Paper ของเครือข่าย Bitcoin ถูกเผยแพร่สู่สาธารณชน โดย Satoshi Nakamoto ตัวผู้สร้าง #BTC เอง วันนี้ เดือนนี้ เมื่อ 17 ปีก่อน (31 ตุลาคม 2008) จึงนับเป็นวันปล่อย White Paper แบบทางการ ! (ผู้ที่ได้รับกลุ่มแรกคือเหล่า Mailing List) 📃 2. Bitcoin White Paper ยาวเพียง 2,736 คำ สั้นกว่าเปเปอร์วิชาการทั่วไปโดยเฉลี่ยราวครึ่งหนึ่ง (เปเปอร์วิชาการยาวเฉลี่ย 4,000 ถึง 10,000 คำ) 📛 3. มีคำว่า Bitcoin ในเปเปอร์เพียงแค่ 2 ครั้ง หลายคนเชื่อว่า Satoshi Nakamoto ไม่ได้คิดไว้ และอาจจะมาตั้งชื่อโปรเจ็กต์นี้ว่า Bitcoin ทีหลัง โดยมีหลักฐานปรากฎไว้ด้วยว่า ซาโตชิ "อาจจะ" ตั้งใจเรียก “Electronic Cash” หรือ “Netcoin” ในตอนเริ่มคิดโปรเจ็กต์ (เดี๋ยวแปะวาร์ปให้555) ⏲ 4. ใน White Paper ไม่มีคำว่า "blockchain" และไม่มีคำว่า "cryptocurrency" แม้แต่คำเดียว แต่ซาโตชิเรียกสิ่งที่ทำหน้าที่ blockchain ว่า... "เซิร์ฟเวอร์ประทับเวลา" (timestamp server) ส่วนเปเปอร์เวอร์ชั่นก่อนหน้า เรียก "timechain" 📦 5. คำที่ใช้บ่อยที่สุด คือ คำว่า "block" โดย "บล็อก" คือชุดธุรกรรมที่ได้รับการ... "ประทับเวลา" ลงบนบล็อกเชนแล้ว และได้รับ "การอนุมัติว่าถูกต้อง" จากเครือข่าย Bitcoin ซึ่งคำนี้ถูกใช้บ่อยถึง 48 ครั้งใน White Paper ทั้งนี้คือไม่ได้นับพวกที่เติม s ต่อท้ายนะสหาย เช่น คำว่า "transaction" กับ "transactions" จะนับว่าเป็นคนละคำกัน คำไหนถูกใช้กี่ครั้งว่าไป ทั้งสองคำจะไม่ถูกนับจำนวนการใช้รวมกันนะ 🔢 6. ไม่ได้มีสมการคณิตศาสตร์เยอะขนาดนั้น หลายคนอาจเข้าใจว่าเปเปอร์นี้ต้อง Geek มาก คงมีสมการทางคณิตศาสตร์เต็มไปหมดแน่เลย แต่ความจริง "ไม่ใช่เลย" สหาย นับทั้งเปเปอร์ ประกอบด้วยสมการทางคณิตศาสตร์ทั้งหมด... เพียงแค่ "3 สมการ" เท่านั้น (เดี๋ยวแปะวาร์ป) แถมนิด ทั้ง 3 สมการที่ยกขึ้นมาประกอบนั้น... เพื่อแสดงให้เห็นถึงความน่าจะเป็นที่จะมีคน... โจมตีหรือขัดขวางเครือข่าย Bitcoin ได้นั่นเอง คนอ่านจะได้เห็นภาพว่าเครือข่ายปลอดภัย 💪 ✍ 7. ซาโตชิเขียนโค้ดก่อนเขียนเปเปอร์ โดยมีข้อความที่เขาเคยบอกว่าเขานั้น... เขียนโค้ดอยู่ราว 2 ปีก่อนปล่อยเปเปอร์ 🗣 8. Bitcoin White Paper มีการอ้างอิง ถึงแหล่งข้อมูล 8 รายการ ซึ่งในนั้นมีพูดถึง โปรเจ็กต์ที่พยายามจะสร้างเงินสดดิจิทัล อย่าง B-money โดย Wei Dei และพูดถึง Hashcash โดย Adam Back ด้วยเช่นกัน และในปัจจุบัน ก็มีเพียงแค่ Adam Back ที่ยังมีมีส่วนร่วมอยู่ในโลกคริปโตทุกวันนี้ (หมายถึงในบรรดาชื่อคนทีพูดถึงอะนะ555) 💻 9. มีการระบุว่า CPU ใช้สร้างบล็อก ใน White Paper ระบุว่าพลังงานจาก CPU จะถูกใช้เพื่อสร้างบล็อก ซึ่งไม่ใช่แล้ว ! ปัจจุบันข้อนี้จึงไม่ได้ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะพลังงานคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ ที่ใช้กันในเครือข่าย มาจากเครื่อง ASIC 🎃 10. จงใจปล่อยในวัน Halloween ?! วันที่และเวลาแบบเป๊ะ ๆ ที่ปล่อยเปเปอร์ คือ... "วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม" !!! ปี 2008 ณ ตอน 14:10 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออก หลายคนจึงคาดเดาว่าเป็นการ "ตั้งใจ" เพื่อจะได้เล่นกับธีมของวัน Halloween ในเรื่อง "การดับสูญและเกิดสิ่งใหม่" สื่อถึงช่วงเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยเก่า ที่เงินแบบเก่ากำลังจะได้เวลาจบไป และได้เวลากำเนิดยุคสมัยเงินใหม่ขึ้น แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันได้เลย เป็นเพียงการคิดต่อยอดกันเองเท่านั้น 🤏 11. ไม่มีการพูดเรื่อง 21 ล้านเหรียญ !!! หลายคนเชื่อว่าเรื่อง Bitcoin จะมีกี่เหรียญ ซาโตชิน่าจะตัดสินใจเป็นส่วนท้าย ๆ สุดเลย เพราะในเปเปอร์ไม่มีพูดถึงแม้แต่คำเดียว มาประกาศเรื่องนี้เอาตอน มกราคม ปี 2009 🔥 12. เป็นที่ถกเถียงยับตอนเปเปอร์ออก ! เหล่า Mailing List (รายชื่อผู้จะได้รับอีเมล) ต่างถกเถียงกันดุเดือดหลังเปเปอร์ออกมา จนผู้ดูแลต้องเข้ามาแทรกกลางและห้ามไว้ โดยบอกให้คุยกันแค่เรื่องโปรโตคอลเท่านั้น หยุดลามไปจวกเงิน Fiat, ภาษี, หรืออื่น ๆ และถ้าอยากคุยให้ก็ทำ Mailing List แยก ซึ่ง Satoshi และ Hal Finney ก็ทำแยกจริง 🤔 13. คนแรกที่ตอบกลับเปเปอร์ยังอยู่ ! James A. Donald คือคนแรกที่ตอบกลับ เพื่อแสดงความเห็นที่มีต่อ White Paper ซึ่งทุกวันนี้เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนั้น... เขาดันไม่เชื่อด้วยซ้ำว่ามันจะสำเร็จได้จริง 😎 14. Hal Finney นี่แหละของแทร่ !!! เขาคือคนทดลองใช้งาน Bitcoin คนแรก และให้การสนับสนุนซาโตชิเรื่อยมาแต่เดิม ทันทีที่ได้อ่าน White Paper เขาพูดเลยว่า ระบบ Proof of Work นี่แหละ เป็นแนวคิด ที่ "มีแนวโน้มจะสำเร็จสูงมาก ๆ" 💪 ⚖ 15. White Paper โดนกฎหมายโจมตี หลายคนตอนนั้นก็ดราม่ากันยับ ไม่แฟร์เลย แต่ช่างเถอะ เพราะมันทำให้แข็งแกร่งขึ้น หลัง White Paper โดนสั่งลบ ก็มีเว็บไซต์ หลายแห่งทั่วโลกช่วยกันกระจายให้เลย แม้แต่เว็บของภารรัฐสหรัฐและเมืองไมอามี ก็มี White Paper นี้แปะบนหน้าเว็บเช่นกัน แม้แต่บริษัทมหาชน อย่าง บริษัท Block และบริษัท Microstrategy ก็ด้วย อิอิ ! 💪 📱 16. บางส่วนของเปเปอร์ก็ไม่ได้ไปต่อ ใน White Paper ซาโตชิเคยมีเสนอเรื่อง การแก้ปัญหาด้าน Scaling เอาไว้ โดยใช้ "Simple Payment Verification (SPV)" เป็นแนวคิดที่จะทำให้ผู้ใช้ยืนยันธุรกรรม โดยไม่ต้องดาวน์โหลดข้อมูลทั้งหมดมา ไม่ต้องดึงมาหมดทั้งเครือข่ายบล็อกเชน แต่แนวคิดนี้ยังมีช่องโหว่และไม่ได้ไปต่อ (ซึ่งซาโตชิก็รู้ ไม่ได้บอกว่ามันสมบูรณ์) ข้อเสนอนี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้ในท้ายที่สุด ไม่ได้ถูกพัฒนาต่อ และมีทางอื่นมาแทน 🌐 17. เว็บไซต์แรกที่ให้โหลดเปเปอร์ คือ "Bitcoin .org" ปัจจุบันก็ยังมีอยู่นะ แถมมีให้เลือกโลดมากกว่า 40 ภาษา แต่ประเด็นคือ... ข้าได้ยินมาว่าเว็บนี้นั้น เคยมีประวัติโดนแฮ็คอยู่ และเคยมีเหตุ ปล่อย client เวอร์ชั่นอันตรายลงในเว็บ ใครจะเข้าไปยุ่งอะไรกับเว็บนี้ก็ดูให้ดีนะ เสียหายโทษใครไม่ได้ เช็คกันเอง555 จบแล้วกับ 17 Fun Facts เกี่ยวกับ #Bitcoin White Paper เพื่อฉลอง ครบรอบ 17 ปี Whitepaper Day อ่านกันเพลิน ๆ นะ ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙‍♂️ #พ่อมดคริปโต #siamstr

#bitcoin #btc #พ่อมดคริปโต #siamstr
_
_ 13d

ทุกอย่างเริ่มขึ้นจากอีเมลฉบับนี้ !!! ครบรอบ 17 ปี อีเมลในตำนาน 📧 📌 วันศุกร์ที่ 31 ต.ค. ปี 2008 เป็นวันที่ Satoshi Nakamoto (ซาโตชิ นากาโมโตะ) ได้ส่งอีเมลฉบับสำคัญของโลก ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งในภายหลัง จนเกิดเป็น #Bitcoin และก้าวข้ามกาลเวลามาจนถึงทุกวันนี้ 📝 ศัพท์เทคนิคในอีเมลฉบับนี้ก็ เช่น: - peer-to-peer = บุคคลถึงบุคคล - double-spending = การใช้จ่ายซ้ำซ้อน (เช่น การพยายามทำให้เกิดการโอนเงินจำนวนเดิมที่เคยถูกโอนออกไปแล้วซ้ำอีกรอบ ทั้งที่เงินจำนวนนั้นควรจะถูกโอนออกไปได้แค่รอบเดียว เรียกง่าย ๆ คือการพยายามจะใช้จ่ายเงินก้อนเดิมซ้ำทั้งที่ตัวเองใช้จ่ายไปแล้ว) - proof-of-work = หลักฐานการทำงาน (เป็นกลไกฉันทามติที่ใช้ตรวจสอบความถูกต้องในบล็อกเชน หนึ่งในจุดประสงค์หลักที่ถูกคิดค้นขึ้นมาก็เพื่อแก้ไขปัญหา double-spending) - Hashcash = ชื่อของบล็อกเชนรุ่นบรรพบุรุษที่มาก่อน Bitcoin อีเมลดังกล่าวใช้หัวข้อว่า "Bitcoin P2P e-cash paper" และเริ่มเกริ่นด้วยการจั่วหัวว่า "ฉันกำลังพัฒนาระบบเงินอิเล็กทรอนิคที่เป็นแบบ peer-to-peer เต็มตัว โดยไม่ต้องเชื่อใจบุคคลที่สาม" ในอีเมลมีการแนบลิงค์เปเปอร์เอาไว้ให้ผู้ที่สนใจได้เข้าไปอ่านกันแบบละเอียดกันได้ และแอบมีการเปรยคุณสมบัติเอาไว้ในอีเมลก่อนว่า: ✍️ คุณสมบัติหลัก: - ป้องกัน double-spending ด้วยเครือข่าย peer-to-peer - ไม่มีการสร้างเหรียญขึ้นมาก่อนหรือมีบุคคลที่สามที่ต้องเชื่อใจใด ๆ - สามารถมีส่วนร่วมแบบนิรนามได้ - เหรียญใหม่จะเกิดจากระบบ proof-of-work สไตล์ Hashcash โดยการพิสูจน์การทำงานเพื่อทำให้เกิดเหรียญใหม่ขึ้นมานี้ยังเสริมพลังให้กับเครือข่ายเพื่อป้องกัน double-spending ประมาณนี้สหาย ที่เหลือพี่แกก็เล่นแปะ Abstract ซะยาวเหยียด ก่อนจะปิดท้ายด้วยลิงค์เปเปอร์อีกรอบ และทิ้งชื่อ Satoshi Nakamoto ลงท้ายตามฉบับคนจดหมายสมัยก่อน 📫 อีเมลในตำนานฉบับนี้ได้ถูกส่งไปให้ Cryptography Mailing List ซึ่งเป็นลิสต์รายชื่ออีเมลของเหล่า cryptographer, นักวิจัย, และผู้ที่มีไฟในคริปโต ณ ตอนนั้น คืออีเมลเหล่านี้มาสมัครขอรับข้อมูลไว้จากเว็บไซต์ เวลาซาโตชิส่งอีเมลหา Cryptography Mailing List ก็คืออีเมลจะถูกส่งกระจายไปให้ทุกคนที่พูดถึงข้างต้นโดยอัตโนมัติ 👍 และทุกวันนี้ #BTC มาไกลมาก ! อีเมลฉบับดังกล่าวนับว่าเป็นอีเมลในตำนานที่ช่วยให้เกิดนวัตกรรมที่ยิ่งใหญของโลกที่ชื่อ Bitcoin เลยก็ว่าได้ เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างก่อนจะมีตลาดคริปโตให้เทรดกันแบบทุกวันนี้ 🤣 และวันนี้ก็ครบรอบ 17 ปีของอีเมลฉบับดังกล่าวแล้วนะสหาย !!! Happy Bitcoin Whitepaper Day นะสหาย !!! ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙‍♂️ #พ่อมดคริปโต #siamstr

#bitcoin #btc #พ่อมดคริปโต #siamstr
_
_ 14d

นักขุด #BTC ลอยฟ้า ความสูง 18,000 ฟุต ✈ ขุด #Bitcoin บนเครื่องบิน ! กำลังบินอยู่ด้วย ! นับเป็น "ครั้งแรกของโลก" ที่มีการ... ขุดคริปโตบนเครื่องบิน ที่กำลังบินอยู่ ณ ความสูง 18,000 ฟุต (5.48 กม.) 🌍 วันนี้ (30 ต.ค.) เมื่อ 14 ปีที่แล้ว (2011) จากกระทู้บน Bitcoin Forum ยุค OG พบว่ามีคนเปิด Run เครื่องขุดบนฟ้า !!! พยายามจะขุด BTC, TBX, และ LTC ⛏ ถ้าถามว่าเชื่อมต่อเครือข่ายได้ยังไง ใช้ WiFi บนเครื่องบินนั่นแหละ ! 📶 ความสูงระดับ 18,000 ฟุตก็ไม่สูงมาก นับว่ายังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยหากเทียบกับ สายการบินปกติที่เราใช้งานกันทั่วไป อยู่แค่ระดับเครื่องบินส่วนตัวลำเล็ก ๆ เห็นว่าขุดระหว่าง "บินข้ามเมือง" 🏙 เห็นบอกว่า "ทำได้สำเร็จ" ซะด้วย ไม่มั่นใจว่าหมายถึง Run เครื่องขุด ขณะอยู่บนที่สูงกลางฟ้าได้สำเร็จ หรือหมายถึงขุดจนได้ BTC มาด้วย สำเร็จที่ว่านี่คือยังไงนะอยากรู้ ? 🤔 ตัวกระทู้เดี๋ยวแปะวาร์ปให้ไปส่องกัน... เผื่อใครอยากรู้อะไรมากกว่านั้นสหาย ดูเหมือนนี่จะเป็นร่องรอยประวัติศาสตร์ ที่มีการ Run เครื่องขุด ณ บนเครื่องบิน ความสูง 18,000 ฟุต ครั้งแรกของโลก นำมาเล่าสู่กันฟัง ว๊าาาฮ่า ๆ ๆ ๆ !!! 🧙‍♂️ #พ่อมดคริปโต #siamstr

#btc #bitcoin #พ่อมดคริปโต #siamstr
_
_ 14d

เจอกันงานวิ่งเชียงใหม่ สหาย !!! 🧙‍♂️ #siamstr

#siamstr
_
_ 16d

ของแทร่

_
_ 23d

ยสตน "ยัง สะสม #Bitcoin ต่อเนื่อง" #siamstr

#bitcoin #siamstr
_
_ 23d

"ยสตน" ยังสะสม #Bitcoin ต่อเนื่อง 😂

#bitcoin

Welcome to _ spacestr profile!

About Me

สวัสดีสหาย ! ข้าชื่อ ชับบี้ เจ้าของเพจ พ่อมดคริปโต แต่เนื่องจากตอนนี้อยู่ใน Nostr ก็จะออกแนวพ่อมดบิทคอยน์แทน55555 😂

Interests

  • No interests listed.

Videos

Music

My store is coming soon!

Friends