spacestr

🔔 This profile hasn't been claimed yet. If this is your Nostr profile, you can claim it.

Edit
journaling_our_journey
Member since: 2025-09-08
journaling_our_journey
journaling_our_journey 15h

“อย่าคิดมากเลย” “มองแง่บวกดูสิ” “ช่างมันเถอะ” . นี่คือตัวอย่างคำพูดที่หลายคนใช้ เมื่อคนใกล้ตัวพวกเขากำลังทุกข์ใจ . มันเป็นคำพูดที่แฝงไปด้วยความหวังดีนะครับ . แต่สำหรับคนที่กำลังทุกข์ใจอยู่นั้น นี่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุด ณ วินาทีนี้ . สิ่งที่พวกเขาต้องการมากกว่า ณ ตอนนี้คือ… . …การมีคนที่ “มองเห็น” ความเจ็บปวดของพวกเขา …การไม่ถูกตัดสินว่าพวกเขา “อ่อนแอ” เพียงเพราะพวกเขากำลังทุกข์ใจ …การไม่ต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดดังกล่าว “คนเดียว” . ฉะนั้น แทนที่เราจะให้คำแนะนำหรือ พูดกระตุ้นให้พวกเขารู้สึกดีขึ้น สิ่งที่เป็นประโยชน์มากกว่าคือ… . …การนั่งอยู่เป็นเพื่อนข้างๆพวกเขา …การสื่อสารให้พวกเขารับรู้ว่า เราเข้าใจและยอมรับสิ่งที่พวกเขากำลังรู้สึกอยู่ …การใช้คำถามเปิดช่องให้พวกเขาบอกเราว่า อะไรคือสิ่งที่พวกเขาอยากให้เราทำให้พวกเขาในตอนนี้บ้าง . ทั้งหมดนี้อาจจะไม่สามารถช่วยปัดเป่า ความทุกข์ในใจพวกเขาให้หายไปได้หรอกนะครับ . แต่มันจะช่วยให้พวกเขารับมือกับ ความทุกข์ใจของพวกเขาได้ดีขึ้นอย่างชัดเจนเลยครับ อ้างอิง https://psycnet.apa.org/doi/10.1037/h0045357 https://psycnet.apa.org/record/1991-98405-000 https://psycnet.apa.org/doi/10.1037/0033-2909.101.1.91 #จิตวิทยา #siamstr

#จิตวิทยา #siamstr
journaling_our_journey
journaling_our_journey 3d

หลายคนบอกผมว่า หากพวกเขาแก่ตัวไป พวกเขารับได้หากตัวเอง จะไม่สามารถยกของหนักๆ หรือไม่สามารถเดินเหินได้ คล่องแคล่วเหมือนตอนหนุ่มสาว . แต่พวกเขาจะรับไม่ได้สุดๆ หากสมองของพวกเขาไม่ได้ sharp เหมือนกับตอนหนุ่มสาว . วันนี้ผมจึงอยากจะนำเสนอแนวทาง ที่เรียบง่าย (แต่ได้ผล) ในการรักษา ความแหลมคมของสมองเราดังนี้ครับ . . . # 1 ถ้าสมองเราคือเครื่องยนต์ อาหารที่เราทานก็คือน้ำมัน . ถ้าเราทานอาหารที่ “คุณภาพต่ำ” มันก็เหมือนกับเราเติม น้ำมัน “คุณภาพต่ำ” เข้าไปในเครื่องยนต์ ส่งผลให้เครื่องยนต์สึกหรอได้ง่ายขึ้น . ฉะนั้น เราควรจำกัดการทานน้ำตาล อาหารทอด รวมถึงอาหารแปรรูปให้น้อยที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ครับ . # 2 อย่าลืมออกกำลังกาย . เวลาที่เราออกกำลังกาย หัวใจเราจะสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น oxygen และสารอาหารจะไหลเข้าสู่เซลล์สมองมากขึ้น . และที่สำคัญก็คือ เราไม่จำเป็นใช้เวลา ออกกำลังกายเยอะด้วยครับ เพียงแค่ การออกกำลังกายครั้งละ 20 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้งก็ช่วยสร้าง ความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดแล้วครับ . # 3 หมั่นเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ . ยกตัวอย่างเช่น การเรียนรู้ภาษาใหม่ การเล่นเครื่องดนตรีชนิดใหม่ หรือแม้กระทั่งการเล่นเกมใหม่ๆ เป็นต้น . เพราะเวลาที่เราเจอกับสิ่งใหม่ๆ สมองเราก็จะทำงานหนักกว่าปกติ มันจึงให้ผลลัพธ์คล้ายๆกับการ “ออกกำลังสมอง” และทำให้สมองแข็งแรงขึ้นนั่นเอง . # 4 อย่าใช้ชีวิตเป็น “หมาป่าเดียวดาย” . เราไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มีเพื่อนเยอะก็จริง แต่ชีวิตเรามีควรที่จะมีเพื่อนที่เราใช้เวลา พูดคุยและมีปฏิสัมพันธ์ด้วยเป็นระยะๆ . มันจะช่วยให้สมองเรา active ได้ดีเลยทีเดียวครับ . . . ผมหวังว่าสิ่งที่ผมได้นำเสนอในวันนี้ จะเป็นประโยชน์กับทุกๆคน (ในทุกช่วงวัย) ที่ต้องการรักษาสมองตัวเองให้ sharp ตลอดชีวิตนะครับ อ้างอิง https://doi.org/10.1001/jama.2025.12923 https://doi.org/10.1056/nejmoa2302368 https://doi.org/10.1016/j.jalz.2015.04.011 https://doi.org/10.1001/jamainternmed.2015.1668 #จิตวิทยา #siamstr

#จิตวิทยา #siamstr
journaling_our_journey
journaling_our_journey 4d

ตอนที่ผมยังเป็นนักเรียน ผมโตมาในยุคที่ไม่มี tablet . นั่นหมายความว่า เวลาที่ผมฟัง lecture อาจารย์ หรือทบทวนเนื้อหาบทเรียนก่อนสอบ การจด note ของผมจะเป็นการใช้มือ เขียนตัวอักษรทีละตัวลงบนกระดาษ . หรือเวลาที่ผมจะต้องเขียนเรียงความ ผมก็ต้องร่าง outline ด้วยการ ใช้ปากกาเขียนลงในกระดาษเช่นกัน . ทุกวันนี้ ผมสังเกตเห็นว่า นักเรียนหลายคนไม่ได้ทำแบบนั้นแล้ว . เพราะพวกเขาจะจด note หรือร่าง outline ด้วยการพิมพ์มันลงใน tablet หรือ laptop แทน . ซึ่งแน่นอนครับว่า การพิมพ์มันคือวิธีที่รวดเร็วกว่าอย่างชัดเจน . แต่ในกรณีที่เราไม่ได้จำเป็นต้องใช้ความเร็ว ในกรณีที่เราเน้นเรื่องของความเข้าใจ หรือความคิดสร้างสรรค์เป็นหลักนั้น ผมอยากเชียร์ให้เราหยุดพิมพ์และหันมาเขียนดีกว่าครับ . เพราะเวลาที่เราพิมพ์ มันเป็นแค่การเอานิ้วกดลงไปที่ปุ่มๆหนึ่ง แต่เวลาที่เราเขียน มันคือการที่เราเอาดินสอหรือปากกา ลากเส้นโค้งงอตามตัวอักษรต่างๆ . การเขียนจึงกระตุ้นการทำงานของสมองได้มากกว่าการพิมพ์ . และเนื่องจากสมองเราได้รับการกระตุ้นมากกว่า เราจึง “หัวแล่น” มากกว่า ส่งผลให้เรามีแนวโน้ม ที่จะเรียนรู้หรือปิ๊งไอเดียใหม่ๆได้ง่ายขึ้นตามลำดับ . ฉะนั้น ไม่ว่าเราจะเป็นนักเรียน นิสิตนักศึกษา หรือคนวัยทำงาน เมื่อไหร่ก็ตามที่เราต้องการความเร็วเป็นหลัก การพิมพ์จะสามารถตอบโจทย์ได้ดี แต่เมื่อไหร่ที่เราอยากจะเน้นการเรียนรู้หรือความคิดสร้างสรรค์เป็นหลัก เราน่าจะลองเปลี่ยนมาเขียนแทนครับ อ้างอิง https://doi.org/10.1016/j.cortex.2013.05.011 https://doi.org/10.3390/brainsci12121724 https://doi.org/10.3390/life15030345 #จิตวิทยา #siamstr

#จิตวิทยา #siamstr
journaling_our_journey
journaling_our_journey 5d

มีคนเคยบอกผมว่า ตั้งแต่เขาเลี้ยงน้องหมา ชีวิตเขาก็มีความสุขมากขึ้น . คนที่ไม่ได้เลี้ยงสุนัข (หรือมีสัตว์เลี้ยง) อาจมองว่านี่เป็นการ “คิดไปเอง” . อย่างไรก็ตาม การศึกษาล่าสุดพบว่า การเลี้ยงสุนัขสามารถส่งผลทางบวกต่อสุขภาพจิตของเราได้ . เพราะอะไรน่ะหรือ? . # 1 การเป็นเจ้าของสุนัขทำให้ชีวิตเรามี routine มากขึ้น (เช่น มีเวลาให้อาหาร เวลาพาไปเดินเล่น) ส่งผลให้เรารู้สึกว่าชีวิตแต่ละวันมีความมั่นคงแน่นอนมากขึ้นตามไปด้วย . # 2 เพียงแค่ได้มีเวลาเอามือลูบตัวน้องหมา มันก็ช่วยให้ลมหายใจและหัวใจเราเต้นช้าลง แถมยังทำให้ฮอร์โมนความเครียดลดลงอีกด้วย . # 3 ไม่ว่าเราจะหงุดหงิด ล้มเหลว หรืออะไรก็ตามแต่ น้องหมาจะยังคงนั่งอยู่ข้างๆเราด้วยความภักดีเสมอ . # 4 การเป็นเจ้าของสุนัขช่วยให้เรา connect กับคนอื่น (ที่เลี้ยงน้องหมาเหมือนกัน) ได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้เรา make friends ได้ง่ายขึ้นตามไปด้วย . # 5 การเลี้ยงน้องหมาทำให้ชีวิตเรามีความหมายมากขึ้น เพราะเราไม่ได้มีชีวิตเพื่อตัวเองอย่างเดียวอีกต่อไป เรากำลังมีชีวิตเพื่อดูแลอีกหนึ่งชีวิตด้วย . แล้วคุณผู้อ่านล่ะครับ? . ประสบการณ์การเลี้ยงน้องหมาของคุณผู้อ่าน สอดคล้องกับสิ่งที่ผมได้นำเสนอไว้ข้างต้น มากน้อยแค่ไหนหรือครับ? . คุณผู้อ่านสามารถแชร์มาได้ที่ช่อง comment ด้านล่างได้เลยนะครับ! #จิตวิทยา #siamstr

#จิตวิทยา #siamstr
journaling_our_journey
journaling_our_journey 6d

คุณกำลังอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนหรือเปล่าครับ? . คุณใช้เวลาอยู่กับ “คนพิเศษ” คนนี้ ราวกับว่าเขาเป็นแฟนของคุณมาเป็นปี . คุณไปกินข้าวด้วยกัน ไปดูหนังด้วยกัน มีเซ็กส์กัน . แต่ในขณะเดียวกัน คุณก็ไม่สามารถเรียกเขา ได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่านี่คือแฟนของคุณ . และที่สำคัญก็คือ คุณไม่ได้ต้องการความสัมพันธ์ แบบ friends with benefits . คุณต้องการความสัมพันธ์แบบแฟน . แต่คุณกลับโอเคกับความสัมพันธ์ ณ ปัจจุบันที่ไม่ชัดเจนนี้ . เพราะอะไร? . ต่อไปนี้คือ 2 เหตุผลที่พบได้บ่อยๆครับ . # 1 คุณอาจจะลงทุนเวลาและพลังงานชีวิตกับความสัมพันธ์นี้มาเยอะ คุณเสียดายเวลาและพลังงานที่ได้ลงทุนไป คุณเลยเลือกที่จะไม่หันหลังให้กับความสัมพันธ์นี้ . # 2 แม้ความสัมพันธ์นี้จะไม่ได้เป็นอย่างที่คุณต้องการ แต่มันก็มีช่วงเวลาดีๆในความสัมพันธ์มากพอ ที่จะทำให้คุณตัดสินใจว่า “โอเค ฉันอยู่ต่อก็แล้วกัน” . แต่เหตุผลเหล่านี้มันคุ้มค่ากับหัวใจของคุณหรือเปล่า? . คุณมองว่าตัวคุณเองคู่ควรกับความสัมพันธ์แบบนี้จริงๆหรือ? . ถ้าคำตอบของคุณคือ “ไม่ใช่” ผมก็อยากจะขอเชิญชวน ให้คุณก้าวออกมาดีกว่าครับ . อ้างอิง https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/21339829/ https://psycnet.apa.org/doi/10.1037/0022-3514.45.1.101 https://psycnet.apa.org/doi/10.1016/0022-1031(80)90007-4 #จิตวิทยา #siamstr

#จิตวิทยา #siamstr
journaling_our_journey
journaling_our_journey 7d

ความยากอย่างหนึ่งของการใช้ dating app คือการคัดกรองว่าคำอธิบาย profile ของแต่ละคนเป็นความจริงมากน้อยแค่ไหน . เพราะเวลาหลายคนเขียน profile ตัวเอง พวกเขาก็จะมีการโกหก (หรือถ้าในกรณีที่น่าเกลียดน้อยหน่อย พวกเขาก็จะมีการกล่าวอ้างเกินจริง) . ซึ่งมันเป็นการตัดสินใจที่เข้าใจได้นะครับ เพราะเวลาที่เรานำเสนอตัวเองบน dating app เราย่อมอยากดูดีให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ . แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆครับว่า การทำเช่นนี้สร้างปัญหาให้กับ ผู้ใช้ dating app จำนวนไม่น้อย . เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาอ่าน profile ของคนๆหนึ่ง พวกเขาก็จะเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า “สิ่งที่ฉันกำลังอ่านนี้คือความจริงหรือคำโกหกบิดเบือนกันแน่?” . มันเป็นคำถามที่ชวนสับสนและตอบยากจริงๆครับ . แต่ในเบื้องต้น หาก profile ของคนๆหนึ่ง มีลักษณะดังต่อไปนี้ มันอาจเป็นสัญญาณว่า เจ้าของ profile กำลังโกหกหรือบิดเบือนความจริงอยู่ครับ . # 1 ใช้คำที่คลุมเครือในการอธิบายตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น เจ้าของ profile บอกว่า ตัวเองเป็นคนตัวค่อนข้างสูง แต่ไม่ได้บอกว่าสูงกี่เซนติเมตร เป็นต้น . # 2 ใช้คำที่ “ฟังแล้วใครๆก็ต้องชอบ” ใน profile ยกตัวอย่างเช่น อธิบายว่าตัวเองมี growth mindset เป็นต้น . # 3 มีความย้อนแย้งปรากฎให้เห็น ยกตัวอย่างเช่น บอกว่าตัวเองชอบการ์ตูนญี่ปุ่นใน profile แต่พอคุยเรื่องตัวละครหลักใน One Piece เจ้าตัวกลับ “ไปไม่เป็น” เป็นต้น . # 4 มีความพยายามในการ “ขายตัวเอง” ด้วยการบอกว่าตัวเองดีอย่างนู้นอย่างนี้ซ้ำๆบ่อยๆ . ทั้ง 4 ข้อนี้อาจจะไม่ได้ทำให้เรา “จับโกหก” ได้แม่นยำแบบ 100% ก็จริง แต่มันจะช่วยให้เรา เข้าใจคนที่เรากำลังคุยด้วยมากขึ้นว่า เขากำลังนำเสนอตัวตนแบบไหนให้เราเห็นใน dating app นี้ครับ . อ้างอิง https://psycnet.apa.org/doi/10.1177/0146167208318067 https://doi.org/10.1111/j.1083-6101.2006.00020.x https://psycnet.apa.org/doi/10.1093/joc/jqy019 https://doi.org/10.1108/INTR-03-2019-0095 https://psycnet.apa.org/doi/10.1177/0093650209356437 #จิตวิทยา #siamstr

#จิตวิทยา #siamstr
journaling_our_journey
journaling_our_journey 8d

คุณผู้อ่านคุ้นเคยกับความรัก ของ perfectionist ไหมครับ? . มันคือความรักที่เต็มไปด้วย คำถามในใจเต็มไปหมด . คำถามเช่น… . “เขารู้สึกผิดหวังกับฉันไหมนะ?” “สิ่งที่ฉันพูดไปเมื่อกี้มันดีหรือเปล่า?” “ฉันทำแบบนี้มันโอเคใช่ไหม?” . มันคือความรักที่เจ้าตัวพยายาม เป็นแฟนที่สมบูรณ์แบบและไร้ที่ติ ในทุกๆคำพูดและการกระทำ . ชาว perfectionist เชื่อว่า หากเขาทำทุกอย่างได้ “ถูกต้อง” ความรักของเขาก็จะปลอดภัย . ปัญหาก็คือ ความเชื่อนี้จะทำให้ ชาว perfectionist รู้สึกเหงาอยู่ในใจครับ . เพราะยิ่งเขาพยายามที่จะ “เป๊ะ” มากเท่าไหร่ แฟนก็ยิ่งรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาน้อยลงเท่านั้น . อันที่จริง มันอาจส่งผลให้ชาว perfectionist เกิดอีกหนึ่งคำถามขึ้นมาในใจด้วยครับ . คำถามนั้นก็คือ… . “ตกลงแล้ว แฟนรักฉันจริงๆ หรือรักตัวตนอันสมบูรณ์แบบ ที่ฉันพยายามแสดงออกกันแน่?” . ฉะนั้น หากชาว perfectionist ต้องการความรักที่แท้จริง เขาก็ต้องมีความกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองกับแฟน (แม้ตัวตนดังกล่าวจะเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง ความกลัว และความยุ่งเหยิงก็ตาม) . แน่นอนครับว่า ความกล้านั้นอาจไม่ได้ นำมาสู่ผลลัพธ์ที่สวยงามเหมือนตอนจบเทพนิยายเสมอไป . บางครั้ง พอแฟนที่เรากำลังคบอยู่ ณ ปัจจุบัน ได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเรา แฟนก็อาจจะตัดสินใจเลิกกับเรา ส่งผลให้เรารู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสได้ . ประสบการณ์เช่นนี้อาจทำให้ ชาว perfectionist มองว่าตัวเองคิดผิด (ที่เปิดเผยด้านที่ไม่ perfect ของตัวเองให้แฟนรับรู้) . แต่การอยู่ในความสัมพันธ์ ที่แฟนรู้จักเพียงแค่เสี้ยวเดียวของเรา (แทนที่จะรู้จักทั้งหมดของเรา) คือทางเลือกที่ดีกว่าจริงๆหรือ? . แน่ใจหรือว่าการอยู่ในความรัก ที่ปฏิเสธตัวตนของเรา มันเจ็บปวดน้อยกว่าการอยู่เป็นโสด? . หากชาว perfectionist สามารถ ตอบคำถามเหล่านี้ได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า “ใช่” เขาก็คงเลือกที่จะเก็บซ่อนตัวตนที่ “ขี้เหร่” ของตัวเองต่อไป . แต่ถ้าชาว perfectionist ไม่สามารถ ตอบคำถามเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนว่า “ใช่” มันอาจจะเป็นสัญญาณว่า การกล้าที่จะเปิดเผยตัวตนของตัวเองทั้งหมด คือทางเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่า…ก็เป็นได้ครับ . อ้างอิง https://doi.org/10.1177/1066480704267279 https://doi.org/10.1007/s12144-001-1013-4 https://doi.org/10.1016/j.paid.2012.04.002 https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/37159636/ #จิตวิทยา #siamstr

#จิตวิทยา #siamstr
journaling_our_journey
journaling_our_journey 9d

เพื่อนที่ดีคือเพื่อนที่ทั้ง give และ take (ไม่ใช่ take อย่างเดียว) . ผมเชื่อว่าทุกคนคงจะเห็นด้วยกับประโยคข้างต้น . แต่เราจะรู้ (ในทางปฏิบัติ) ได้ยังไงว่า เพื่อนเราไม่ได้ take อย่างเดียว? . ต่อไปนี้คือตัวอย่างของการ take อย่างเดียวที่พบเจอได้บ่อยๆครับ . (ผมเชื่อว่าคุณผู้อ่านหลายคนคงจะ คุ้นเคยกับตัวอย่างต่อไปนี้อยู่เหมือนกันครับ) . # 1 เพื่อนเป็นฝ่ายติดต่อมาหาเรา ก็ต่อเมื่อเพื่อนต้องการความช่วยเหลือ (เช่น ยืมเงิน ขอคำปรึกษา) จากเราเท่านั้น ถ้าเพื่อนไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือ ก็จะมีแต่เราที่เป็นฝ่ายติดต่อไปก่อนเสมอ . # 2 เวลาที่เพื่อนคุยกับเรา บทสนทนาที่เกิดขึ้น จะกลายเป็นเวทีให้เพื่อนระบายอารมณ์ประจำ แต่เมื่อไหร่ที่เราอยากแชร์ความรู้สึกของเราบ้าง เพื่อนก็ดูไม่พร้อมที่จะรับฟังแม้แต่ครั้งเดียว . # 3 ไม่ว่าเรากำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ เพื่อนก็จะดึงบทสนทนาให้กลับมาที่ ประสบการณ์หรือความรู้สึกของตัวเพื่อนเสมอ . หากเราพบว่าเพื่อนเราเป็นแบบนี้ และถ้าเราเคยคุยกับเพื่อนแล้วว่าเราไม่โอเคกับจุดนี้ แต่เพื่อนก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงล่ะก็ นี่อาจเป็นสัญญาณให้เราทิ้งระยะห่างกับเพื่อนคนนี้มากขึ้น…ก็เป็นได้ครับ . อ้างอิง https://doi.org/10.4992/jjpsy.67.33 https://doi.org/10.1080/00224549709595483 https://doi.org/10.1111/jora.12501 #จิตวิทยา #siamstr

#จิตวิทยา #siamstr
journaling_our_journey
journaling_our_journey 10d

ตอนที่ผมยังเป็นนักเรียน ผมเคยอ่านหนังสืออยู่หน้าหนึ่ง . ผมอ่านหน้านั้นซ้ำๆติดกัน 3-4 รอบ แต่เนื้อหาของหน้านั้นกลับไม่เข้าหัวผมเลยแม้แต่นิดเดียว! . ทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น? . สาเหตุข้อหนึ่งก็คือ วิธีการเรียนรู้ของผมในตอนนั้น มันเป็นวิธีการเรียนรู้ที่ไม่เอื้อ ต่อการทำงานของสมองเท่าไหร่นัก . ถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้ ต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมจะทำครับ . # 1 ผมจะขยับร่างกายเล็กๆน้อยๆก่อนอ่านหนังสือ (เช่น เดินเล่นสักนิด ยืดเหยียดแขนขาสักหน่อย) . # 2 ผมจะไม่อ่านหนังสือครั้งละ 2-3 ชั่วโมง ผมจะอ่านหนังสือ 20-30 นาที พักสัก 5-10 นาที และกลับมาอ่านหนังสือต่ออีก 20-30 นาทีแทน . # 3 ผมจะเก็บเนื้อหาที่สำคัญที่สุดมาอ่านทวนก่อนเข้านอน . # 4 ผมจะไม่เพียงแค่หยิบหนังสือมาอ่านในใจอย่างเดียว แต่ผมจะทั้งอ่านในใจ ทั้งอ่านออกเสียง ทั้งเขียน ทั้งวาดผสมกันไป . # 5 ผมจะไม่อ่านหนังสือแต่ละบทซ้ำๆกันหลายรอบ แต่ทุกครั้งที่ผมอ่านหนังสือจบแต่ละบท ผมจะเขียนสรุปเนื้อหาสำคัญของบทนั้น พักผ่อนสักระยะหนึ่ง และทดสอบตัวเองว่า จดจำและเข้าใจเนื้อหาในบทนั้นมากแค่ไหน ถ้าผลการทดสอบออกมาดี ผมก็จะขยับไปที่บทต่อไป แต่ถ้าผลการทดสอบยังออกมาไม่ดี ผมก็จะอ่านบทนั้นซ้ำ ตามด้วยการเขียนสรุปเนื้อหาสำคัญของบทนั้น พักผ่อนสักระยะ และทดสอบตัวเองอีกรอบ . ทั้งหมดนี้จะช่วยให้สมองของผมเรียนรู้ได้ง่ายขึ้นเยอะครับ . อ้างอิง https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/25206041/ https://doi.org/10.1111/j.1467-9280.2006.01693.x https://psycnet.apa.org/doi/10.1017/CBO9781139164603 #จิตวิทยา #siamstr

#จิตวิทยา #siamstr
journaling_our_journey
journaling_our_journey 11d

หลายคนรู้สึกผิดเวลาที่พวกเขาพักผ่อน . เพราะพวกเขามองว่า เวลาที่พวกเขาใช้พักผ่อนนั้น ควรถูกนำเอาไปใช้ทำอย่างอื่น ที่ “เป็นประโยชน์” มากกว่า . พวกเขาจะยิ่งรู้สึกผิดเป็นพิเศษ หากพวกเขาเป็นคนที่แคร์คนอื่นเป็นอย่างมาก . เพราะพวกเขาจะมองว่าช่วงเวลาพักผ่อนนั้น มันคือช่วงเวลาที่พวกเขาเอาไปช่วยเหลือคนอื่นได้ . มันทำให้การพักผ่อนของพวกเขา ดูเป็นการกระทำที่ “เห็นแก่ตัว” ขึ้นมาทันที . แต่ในความเป็นจริงแล้ว แม้กระทั่งรถยนต์ก็ยังต้องมีเวลา แวะเติมน้ำมัน แวะเข้าศูนย์เป็นระยะๆ . การตัดสินใจเอารถยนต์ไปแวะเข้า ศูนย์หรือปั้มน้ำมันไม่ใช่สิ่งที่ “เห็นแก่ตัว” แต่มันเป็นสิ่งที่ “จำเป็น” ต่อการที่รถยนต์ จะทำหน้าที่พาผู้คนและสิ่งของไปส่ง ตามที่ต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ . การพักผ่อนของคนเราก็เช่นเดียวครับ . มันไม่ใช่การตัดสินใจที่ “เห็นแก่ตัว” แต่มันคือสิ่งที่เรา “จำเป็น” ต้องทำ หากเราต้องการให้ตัวเองช่วยเหลือคนอื่นได้ยาวๆครับ . อ้างอิง https://www.researchgate.net/publication/245720535_Compassion_fatigue_as_secondary_traumatic_stress_disorder_An_overview https://psycnet.apa.org/record/1997-36453-000 https://psycnet.apa.org/record/1998-06505-001 #จิตวิทยา #siamstr

#จิตวิทยา #siamstr
journaling_our_journey
journaling_our_journey 13d

พวกเราคงจะคุ้นเคยกับ เรื่องราวของหลายคน ที่ตัดสินใจ drop out จากมหาวิทยาลัย เพื่อมาทำธุรกิจของตัวเอง . ไม่ว่าจะเป็น Bill Gates (Microsoft) Steve Jobs (Apple) หรือ Mark Zuckerberg (Facebook) . คำถามคือ…นี่เป็นการตัดสินใจที่ดีหรือไม่? . หลายคนจะตอบอย่างไม่ลังเลเลยครับว่า “ดี” เพราะธุรกิจของบุคคลในข้างต้น คือธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงระดับโลก . แต่ถ้าธุรกิจของพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จล่ะ? . หลายคนก็จะตอบทันทีว่า ในกรณีแบบนี้ การตัดสินใจ drop out นั้นคือการตัดสินใจที่ไม่ดี . พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ หลายคนใช้ “ผลลัพธ์” เป็นตัวประเมินคุณภาพของการตัดสินใจ . แต่ในความเป็นจริงแล้ว การตัดสินใจที่ดีไม่ได้นำมาสู่ “ผลลัพธ์” ที่ดีเสมอไป . และเช่นเดียวกัน การตัดสินใจที่แย่ ก็ไม่ได้นำมาสู่ “ผลลัพธ์” ที่แย่เสมอไปด้วย . เราลองนึกถึงเรื่องราวของคนที่ลาออกจากงาน เอาเงินก้อนทั้งหมดที่มีไปซื้อหวย และเกิดถูกหวยก็ได้ครับ . ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคน น่าจะเห็นตรงกันว่า นี่คือการตัดสินใจที่แย่มากๆ . แต่การตัดสินใจที่แย่นี้กลับทำให้ เจ้าตัวกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านไปเรียบร้อย! . หรืออีกหนึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ การที่เราตัดสินใจที่จะคบกับแฟนเก่าของเรา . สุดท้ายแล้ว แม้แฟนเก่ากับเราจะไม่สามารถไปด้วยกันได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เราตัดสินใจผิดที่คบกับแฟนเก่าของเราเสมอไป . ผมมองว่า หากเราตัดสินใจ ด้วยข้อมูลทั้งหมดที่เรามี ณ เวลานั้น และเราได้พิจารณาไตร่ตรองดีแล้ว (ไม่ได้ตัดสินใจแบบหุนหันผันแล่น) ต่อให้ “ผลลัพธ์” จะออกมาดีหรือไม่ดี ผมก็นับว่านั่นคือการตัดสินใจที่ดีแล้วแหละครับ . อ้างอิง https://doi.org/10.1007/s11238-020-09773-1 https://doi.org/10.1177/0956797619828724 https://doi.org/10.1037//0022-3514.54.4.569 #จิตวิทยา #siamstr

#จิตวิทยา #siamstr
journaling_our_journey
journaling_our_journey 14d

เคยไหมครับ? . เราพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น แต่เสียงในหัวกลับคอยบอกว่า… . “ฉันเปลี่ยนไม่ได้หรอก” “มันยากเกินไป มันสายเกินไป” “พยายามไปเดี๋ยวก็ล้มเหลวอีกอยู่ดี” ฯลฯ . สิ่งหนึ่งที่ทำให้เสียงเหล่านี้มีพลังก็คือ มันมีความจริงที่แอบซ่อนอยู่ในนั้น . แต่มันเป็นความจริงที่ถูกหยิบมาบิดเบือน . ยกตัวอย่างเช่น . เวลาที่เสียงในหัวเราบอกว่า “พยายามไปเดี๋ยวก็ล้มเหลวอีกอยู่ดี” . ความจริงที่แอบซ่อนอยู่ก็คือ ในอดีตที่ผ่านมา เราได้เคย พยายามและล้มเหลวมาแล้ว . เสียงในหัวเราหยิบเอาความจริงข้อนี้ มาบิดเบือนจนกลายเป็นคำตัดสินที่ฟังดูเด็ดขาดว่า… . เนื่องจากเราเคยพยายาม และล้มเหลวมาก่อนในอดีต การพยายามครั้งต่อไป ก็จะต้องจบลงด้วยความล้มเหลวแน่นอน . เป็นต้น . ฉะนั้น กุญแจสำคัญในการรับมือ กับเสียงในหัวเหล่านี้คือการไม่ปล่อย ให้ตัวเอง “ไหลตามน้ำ” ไปกับความจริงที่บิดเบือน . เราจะต้อง “ยืนหยัด” ให้มั่นคง ว่าความจริง (จริงๆ) คืออะไรกันแน่ . และอาศัยความจริง (ที่ไม่บิดเบือน) มาใช้รับมือกับเสียงในหัวเหล่านั้น . ยกตัวอย่างเช่น . เวลาที่เสียงในหัวบอกเราว่า “พยายามไปเดี๋ยวก็ล้มเหลวอีกอยู่ดี” . สิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้ คือการต่อสู้กับเสียงดังกล่าวว่า . “ใช่ ที่ผ่านมา ฉันเคยพยายามและก็ล้มเหลวมาแล้วหลายรอบ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าความพยายามครั้งนี้จะล้มเหลวเหมือนเก่า มันอาจจะสำเร็จก็ได้ หรือถ้ามันจะล้มเหลวอีก อย่างน้อย ฉันก็ได้ก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว แทนที่จะยืนอยู่ที่เดิมและยกธงขาวยอมแพ้ตั้งแต่แรก” . เป็นต้น . ผมหวังว่าสิ่งที่ผมได้หยิบมานำเสนอในวันนี้ จะเป็นประโยชน์กับทุกๆคนที่กำลังเผชิญหน้า กับเสียงในหัวที่ขัดขวางไม่ให้ตัวเองกลายเป็นคนที่ดีขึ้นนะครับ . อ้างอิง https://doi.org/10.1111/jopy.12005 https://psycnet.apa.org/record/1999-02577-000 #จิตวิทยา #siamstr

#จิตวิทยา #siamstr

Welcome to journaling_our_journey spacestr profile!

About Me

ผมให้บริการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและนำเสนอบทความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับจิตวิทยาครับ

Interests

  • No interests listed.

Videos

Music

My store is coming soon!

Friends