spacestr

🔔 This profile hasn't been claimed yet. If this is your Nostr profile, you can claim it.

Edit
journaling_our_journey
Member since: 2025-01-09
journaling_our_journey
journaling_our_journey 15h

ชีวิตของพวกเราทุกคนมีหลากหลายฤดูกาล . บางวัน ชีวิตเราก็เป็นเหมือนฤดูร้อนที่ท้องฟ้าสดใส บางวัน ชีวิตเราก็เป็นเหมือนฤดูฝนที่ทุกอย่างอึมครึมไปหมด . คำถามสำคัญก็คือ เราจะทำยังไงดีในวันที่ฝนตกหนัก? . แน่นอนครับว่าเราคงไม่มี พลังอำนาจที่จะสั่งให้ฝนหยุดตกได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้ คือการเรียนรู้ที่จะ “เต้นรำ” กลางสายฝน . ต่อไปนี้คือสิ่งเล็กๆน้อยๆที่ช่วยให้เรา “เต้นรำ” กลางสายฝนได้ง่ายขึ้นครับ . . . # 1 . นึกย้อนถึงวันวานในอดีตที่เราก็เจอฝนตกหนัก (ไม่ต่างกับปัจจุบัน) แต่ถึงกระนั้น เราก็ยังก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาดังกล่าวมาได้ . อะไรบ้างคือสิ่งที่ช่วยให้เราก้าวข้ามผ่านวันที่ฝนตกหนักได้สำเร็จ? . สำหรับบางคน มันคือการที่เขามีคนรอบตัว ที่พร้อมจะ support เขาเสมอ (ขอแค่เขาเอ่ยปากเท่านั้น) . สำหรับบางคน มันคือการที่เขามีความเชื่อว่า ตัวเองแข็งแกร่งพอที่จะเผชิญหน้ากับพายุฝนนั้น . สำหรับบางคน มันคือการที่เขามีความสามารถ ในการมองเห็นสิ่งเล็กๆที่ทำให้เขาหัวเราะอารมณ์ดีได้ในทุกวัน . การได้ทบทวนและหาคำตอบให้กับตัวเองในแง่มุมนี้ จะช่วยให้เรา “เต้นรำ” กลางสายฝนได้ง่ายขึ้นครับ . # 2 . ตั้งคำถามกับตัวเองว่า หากคนที่เราชื่นชมเป็นการส่วนตัว เขากำลังเจอกับฝนตกหนัก (แบบที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน) คนๆนั้นเขาจะทำอะไรบ้าง? . ยกตัวอย่างเช่น . เขาอาจจะเดินไปขอยืม “ร่ม” จากคนอื่น (ไม่รอให้คนอื่นเป็นฝ่ายยื่น “ร่ม” ให้เขา) . เขาอาจจะพูดกับตัวเองว่า “ฉันจะเผชิญหน้ากับฝนในวันนี้ ด้วยความหวัง ไม่ใช่ความหวาดกลัว เพราะถ้าวันนี้ผ่านพ้นไปได้ ฉันอยากที่จะหันกลับมามอง ตัวฉันในวันที่ฝนตกด้วยความภาคภูมิใจ” . เป็นต้น . บางครั้ง การที่เรามองสถานการณ์ความยากลำบาก ที่เราเผชิญอยู่ด้วยสายตาของ “บุคคลที่สาม” (โดยเฉพาะบุคคลที่ “อุดมคติ” ในสายตาเรา) มันอาจช่วยให้เรา “เต้นรำ” กลางสายฝนได้ง่ายขึ้นได้ครับ . # 3 . เวลาที่ชีวิตเราเจอฝนตกหนักๆ ต่อให้เราจะระมัดระวังขนาดไหน บางครั้งเราก็อดไม่ได้ที่จะตัวเปียก . แต่สำหรับหลายๆคน การที่พวกเขาตัวเปียก ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายที่สุด . สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ สิ่งที่พวกเขาพูดกับตัวเอง เวลาที่พวกเขาตัวเปียก . ยกตัวอย่างเช่น “ฉันนี่มันเซ่อซ่าจริงๆ!” เป็นต้น . คำพูดลักษณะนี้เปรียบเหมือน แส้ที่พวกเขาหวดใส่ตัวเองอย่างจัง . มันส่งผลให้พวกเขาไม่เพียงแค่ตัวเปียกเท่านั้น แต่ยังมีรอยแผลจากแส้แถมเพิ่มมาอีกด้วย . ในทางกลับกัน หากพวกเขาไม่ได้ใช้คำพูดที่เลวร้ายกับตัวเอง (เช่น “ฉันไม่ชอบที่ตัวเองเปียกปอนในวันนี้ ฉะนั้น ฉันจะต้องเรียนรู้จากวันนี้เพื่อไม่ให้วันพรุ่งนี้เปียกปอนซ้ำสองอีก!”) มันอาจไม่ได้ทำให้พวกเขาตัวแห้งก็จริง แต่มันก็จะป้องกันไม่ให้มีรอยแผลจากแส้ได้ . และพอตัวเราไม่มีรอยแผลที่แสบจากแส้ การ “เต้นรำ” กลางสายฝนก็จะทำได้ง่ายขึ้นครับ . . . ผมหวังว่าสิ่งที่ผมเขียนในวันนี้จะช่วยให้ทุกคน เผชิญหน้ากับฤดูฝนในชีวิตตัวเองได้อย่างมั่นคงมากขึ้นนะครับ . อ้างอิง https://psycnet.apa.org/record/1976-28303-000 http://dx.doi.org/10.1111/1467-6427.00043 #จิตวิทยา #siamstr

#จิตวิทยา #siamstr
journaling_our_journey
journaling_our_journey 1d

คุณเคยปฏิเสธคนอื่นและ รู้สึกผิดหรือกังวลใจไหมครับ? . ยกตัวอย่างเช่น เพื่อนร่วมงานขอให้คุณช่วยทำรายงานให้ แต่คุณก็ปฏิเสธเพราะตัวคุณเองก็งานล้นมืออยู่แล้ว ซึ่งการปฏิเสธนั้นมันทำให้คุณรู้สึกผิดต่อเพื่อนร่วมงาน อีกทั้งยังกังวลใจด้วยว่าเพื่อนร่วมงานจะมองว่าคุณ “เห็นแก่ตัว” เป็นต้น . นี่คือประสบการณ์ของหลายๆคนครับ . แต่เมื่อเวลาผ่านไป หลายคนก็พบว่า ความรู้สึกผิดหรือความกังวลจากการปฏิเสธคนอื่น มันไม่ได้เข้มข้นเหมือนเดิมอีกแล้ว . ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้พวกเขาเริ่มสงสัยว่า พวกเขากำลังกลายเป็น “คนไม่ดี” หรือเปล่า . เพราะมีแต่ “คนไม่ดี” เท่านั้นที่จะไม่แคร์คนอื่น จนไม่ค่อยรู้สึกผิดหรือกังวลแบบนี้ . แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้หมายความว่า พวกเขากำลังกลายเป็น “คนไม่ดี” เสมอไป . มันเป็นไปได้ว่า พวกเขายังคงแคร์ ความต้องการของคนอื่นอยู่แหละครับ แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็เริ่มแคร์ ความต้องการของตัวเองด้วยเช่นกัน . ซึ่งการให้ความสำคัญกับ ความต้องการของตัวเองนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่แย่หรือ เรื่องที่ทำให้เป็น “คนไม่ดี” แต่อย่างใด . ไม่เช่นนั้น คนที่เราตอบปฏิเสธไป ก็ต้องเป็น “คนไม่ดี” เหมือนกัน เพราะการที่เขามาขอ ความช่วยเหลือจากเรานั้น มันก็สะท้อนว่าเขาให้ความสำคัญ กับความต้องการของตัวเขาเอง . ฉะนั้น เวลาที่เราเห็นตัวเองปฏิเสธคนอื่น โดยที่เราไม่ได้รู้สึกแย่เหมือนเมื่อก่อน เราอย่าเพิ่งรีบด่วนสรุปว่าเรากำลังกลายเป็น “คนไม่ดี” เลยครับ . เพราะในความเป็นจริงแล้ว นี่อาจจะเป็นสัญญาณว่าเรากำลังเติบโตขึ้นอีกขั้น (ด้วยการเรียนรู้ที่จะฟังเสียงความต้องการของตัวเองมากขึ้น ไม่ใช่แค่เสียงความต้องการของคนอื่นอย่างเดียว) ก็เป็นได้ครับ! . อ้างอิง https://psycnet.apa.org/doi/10.1037/0022-3514.68.3.518 https://psycnet.apa.org/doi/10.3758/BF03328637 #จิตวิทยา #siamstr

#จิตวิทยา #siamstr
journaling_our_journey
journaling_our_journey 2d

สวัสดีครับ :)

journaling_our_journey
journaling_our_journey 2d

ทุกวันนี้ เรามีชีวิตอยู่ในโลก ที่ให้ความสำคัญกับ productivity . อันที่จริง เวลาที่เราถามคนรู้จักว่า “ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง?” และคำตอบที่ได้รับคือ “ช่วงนี้ยุ่งมากเลย” . สังเกตไหมครับว่า สำหรับหลายๆคน พวกเขาพูดคำตอบดังกล่าวออกมา ด้วยน้ำเสียงที่แอบภาคภูมิใจเล็กๆด้วย? . ยิ่งไปกว่านั้น หลายคนยังพบว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาว่างหรือพักผ่อน พวกเขาจะแอบรู้สึกผิดเสียด้วย! . สิ่งที่ผมอยากจะนำเสนอในวันนี้ก็คือ หากเราให้ความสำคัญกับ productivity จริงๆ การพักผ่อนคือจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ขาดไม่ได้ครับ . เพราะเวลาที่เราพักผ่อน (ต้องเป็นการพักผ่อนจริงๆนะครับ ไม่ใช่พักผ่อนในรูปแบบที่ยังทำ สิ่งที่แอบ productive ไปพลางๆด้วย) default mode network ของสมองเรา ก็จะเริ่มต้นทำงานอย่างจริงจัง . มันจะช่วยประมวลผลความทรงจำของเรา ช่วยให้เราปิ๊งไอเดียใหม่ๆได้ง่ายขึ้น และช่วยแก้ไขปัญหาที่เราติดขัดก่อนที่เราจะมาพักผ่อน . ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นในสมองเราแบบ “อัตโนมัติ” ในระหว่างที่เรากำลังพักผ่อนอย่างสบายใจ . ด้วยเหตุนี้ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราพักผ่อนเสร็จ และกลับไปลุยงานต่อ เราก็จะค้นพบว่า เราสามารถทำงานได้อย่างมีสมาธิมากขึ้น แถมยังสามารถแก้ปัญหาที่เราคิดไม่ตก ในช่วงก่อนพักผ่อนได้ง่ายขึ้นอีกด้วย . เราจะเห็นได้ว่า ถ้าเราสนใจกับ productivity จริงๆ การพักผ่อนจะไม่ได้เพียงแค่สิ่งที่ “มีก็ดีไม่มีก็ได้” อีกแล้ว . แต่มันคือสิ่งที่เราควรจะล็อกเวลาไว้ใน ตารางชีวิตของเราอย่างสม่ำเสมอเลยครับ . อ้างอิง https://doi.org/10.1016/j.neuron.2023.04.023 #จิตวิทยา #siamstr

#จิตวิทยา #siamstr
journaling_our_journey
journaling_our_journey 2d

ด้วยความยินดีครับผม :)

journaling_our_journey
journaling_our_journey 3d

เราเชื่อกันมาตลอดว่า “วินัย” คือกุญแจสู่ความสำเร็จ . แต่เคยสงสัยไหมครับว่า ถ้าไม่นับการเฆี่ยนตีตัวเองให้มี “วินัย” แล้ว (เช่น เฆี่ยนตีตัวเองให้ออกกำลังกาย ให้อ่านหนังสือ ให้หยุดใช้เงินเกินตัว) มันมีวิธีอื่นในการสร้าง “วินัย” อีกไหม? . ผมคนหนึ่งครับที่เคยสงสัยในเรื่องนี้ . ผมใช้เวลาในการหาคำตอบในเรื่องนี้อยู่พักใหญ่ และวันนี้ ผมอยากจะนำเสนอทางเลือกใหม่ ที่จะช่วยให้เรามี “วินัย” ได้โดยไม่ต้องเฆี่ยนตีตัวเองครับ . . . # 1 ตอบตัวเองให้ได้ว่าเราทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร . ยกตัวอย่างเช่น เราควบคุมอาหารการกินไปเพื่ออะไร? เราอย่าตอบเพียงแค่ว่า “เพราะมันเป็นสิ่งที่ควรทำ” เท่านั้นนะครับ (เพราะคำตอบนี้มัน “ทรงพลัง” ไม่มากพอ) . ถ้าจะให้คำตอบ “ทรงพลัง” มากพอ มันจะต้องเป็นคำตอบที่ทำให้ใจเรา รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า “ใช่เลย!” ครับ . (เช่น ฉันควบคุมสิ่งที่ฉันกิน เพราะฉันอยากมีสุขภาพที่ดี ฉันจะได้มีแรงเล่นกับลูกได้เต็มที่) . # 2 อย่าละเลยการพักผ่อนเด็ดขาด . เวลาที่เราพักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่เพียงแค่ร่างกายเราที่ “พลังงานต่ำ” เท่านั้น แต่พลังใจเราก็จะ “พลังงานต่ำ” ด้วย . และเมื่อพลังใจเรามีน้อย “วินัย” ของเราก็จะหย่อนยานลง ส่งผลให้การทำสิ่งที่เราควรทำ กลายเป็นเรื่องที่ยากขึ้นกว่าเดิม . (เช่น เราจะตบะแตกและกินแหลกมากขึ้น หากเมื่อคืนเรานอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ) . # 3 จัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการมี “วินัย” . ยกตัวอย่างเช่น . หากเราต้องการควบคุมสิ่งที่เรากิน เราก็ไม่ควรซื้อ “ของต้องห้าม” มาเก็บไว้ในบ้าน (เช่น ไอศกรีม เค้ก น้ำอัดลม) . ไม่อย่างนั้น ทุกครั้งที่เราเดินผ่านตู้เย็น ใจเราก็จะนึกถึง “ของต้องห้าม” ทุกรอบ ส่งผลให้พลังใจเราถูกบั่นทอนเรื่อยๆ จนในที่สุด เราก็อาจจะทนไม่ไหว และเดินไปหยิบ “ของต้องห้าม” มากินจนได้ . แต่ในทางกลับกัน หากเราไม่มี “ของต้องห้าม” อยู่ในบ้าน และเราอยากกิน “ของต้องห้าม” ขึ้นมา เราก็จะต้องออกจากบ้านไปหามากิน . ความไม่สะดวกในการกิน “ของต้องห้าม” นี้ จะช่วยให้เรามี “วินัย” ทางการกินได้ง่ายขึ้น . เป็นต้น . . . ผมหวังว่าสิ่งที่ผมได้หยิบมาแบ่งปันในวันนี้ จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกๆคนที่ต้องการ มี “วินัย” โดยไม่เฆี่ยนตีตัวเองนะครับ . อ้างอิง https://psycnet.apa.org/doi/10.1037/0022-3514.74.5.1252 https://doi.org/10.1037/0022-3514.92.2.325 https://doi.org/10.1016/j.copsyc.2024.101882 #จิตวิทยา #siamstr

#จิตวิทยา #siamstr
journaling_our_journey
journaling_our_journey 3d

ดีใจที่ชอบครับผม :)

journaling_our_journey
journaling_our_journey 4d

คุณเคยคิดไหมครับว่า “ฉันอยากมีความสุขมากกว่านี้จัง?” . หากคุณกำลังมีความคิดทำนองนี้อยู่ล่ะก็ วันนี้ ผมมีทางออกมานำเสนอครับ . และที่สำคัญก็คือ ทางออกที่ว่านี้ เป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้ตั้งแต่วันนี้เลยครับ! . ถ้าเราต้องการมีความสุขมากขึ้น สิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้คือ การหยิบยื่น “ความใจดี” เล็กๆน้อยๆให้กับคนอื่นครับ . ไม่ว่าจะเป็นการยิ้มให้กับแม่ค้าตอนที่เราซื้อของ หรือการตักกับข้าวให้คนในบ้านระหว่างที่กำลังกินข้าวด้วยกัน หรือการกดปุ่มเปิดประตูลิฟต์ค้างให้คนอื่นเดินเข้ามาได้ทัน . บางคนอาจสงสัยนะครับว่า ในวันที่เราไม่ได้รู้สึกมีความสุขขนาดนั้น เราจะยังมีแรงใจเหลือพอที่จะ “ใจดี” กับคนอื่นอีกหรือ? . เพราะถ้าเรามองดูเผินๆล่ะก็ การที่เรา “ใจดี” กับคนอื่น มันคือการที่เราเป็นฝ่าย “ให้” . และการที่เราจะเป็นฝ่าย “ให้” ได้นั้น เราก็ควรต้องเป็นคนที่ “มีเหลือ” ไม่ใช่หรือ? . แต่ในความเป็นจริงแล้ว เวลาที่เราตั้งใจที่จะ “ใจดี” กับคนอื่น เราไม่ได้เป็นฝ่ายที่ “เสีย” เพียงอย่างเดียว . เรายังเป็นฝ่ายที่ “ได้รับ” อีกด้วย . ด้วยเหตุนี้ เราไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ “มีเหลือ” หรือมีความสุขมากๆก่อน แล้วจึงค่อยไป “ใจดี” กับคนอื่นในภายหลัง . ขอเพียงแค่เรามีความตั้งใจที่จะ “ใจดี” กับคนอื่น และมีแรงมากพอที่จะทำสิ่งเล็กๆน้อยๆให้กับคนอื่น . …นั่นก็เพียงพอสำหรับเราที่จะ “ได้รับ” ผ่านการ “ให้” แล้ว . เพราะการ “ใจดี” กับคนอื่นไม่ใช่สิ่งที่สงวนไว้ สำหรับคนที่มีความสุขเหลือล้นอยู่แล้วเท่านั้น แต่มันคือสิ่งที่จะเติมความสุขให้กับเราตั้งแต่ 0 ต่างหากครับ . อ้างอิง https://doi.org/10.1126/science.1150952 https://doi.org/10.1037/a0031578 https://doi.org/10.1371/journal.pone.0039211 https://doi.org/10.1080/17439760.2016.1209541 #จิตวิทยา #siamstr

#จิตวิทยา #siamstr
journaling_our_journey
journaling_our_journey 6d

ครอบครัวคืออะไร? . สำหรับบางคน ครอบครัวคือความรัก ครอบครัวคือความปลอดภัย . แต่สำหรับหลายคน ครอบครัวคือความเจ็บปวด ครอบครัวคือความขัดแย้ง . ผลสำรวจพบว่า ทุกวันนี้ ครอบครัวจำนวนมาก (เกือบๆ 50%) มีสมาชิกบางคนที่ตัดขาดการติดต่อ กับสมาชิกคนอื่นๆภายในบ้านโดยสมบูรณ์ . เพราะพวกเขามีความขัดแย้งกับคนในบ้าน (ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง ศาสนา หรือค่านิยมในการใช้ชีวิตก็ตาม) ที่รุนแรงจนเกิด “รอยร้าว” ในความสัมพันธ์ . มันทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา กับคนอื่นๆในครอบครัวเกิดช่องว่างขนาดใหญ่ จนยากที่พวกเขาจะ “ต่อกันติด” ได้อีก . แน่นอนครับว่า สำหรับฝ่ายที่เป็นคน “เดินออกมา” จากครอบครัวนั้น พวกเขาหลายคน “เดินออกมา” พร้อมกับคำถามในใจ . คำถามที่ว่า “การที่ฉันเดินออกมานี้ มันคือการทรยศต่อครอบครัวใช่ไหม?” . และหลายคนก็ตอบคำถามนี้ว่า “ใช่! ฉันทรยศต่อครอบครัว!” (แม้คนนอกอาจจะมองว่าพวกเขา ไม่ได้ถึงขั้นทรยศครอบครัวขนาดนั้นก็ตาม) . แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังหนักแน่น ในการตัดสินใจที่จะ “เดินออกมา” อยู่ดี . เพราะอะไร? . เพราะในสายตาของพวกเขานั้น ต่อให้พวกเขาจะไม่อยาก “ทรยศ” ครอบครัวก็จริง แต่พวกเขายังมีคนที่ไม่อยาก “ทรยศ” ยิ่งกว่าครอบครัวเสียอีก . คนๆนั้นคือตัวพวกเขาเอง . เพราะสำหรับคนกลุ่มนี้ พวกเขาได้ทุ่มเทเวลาและพลังงานไปเยอะมากๆ กับการพยายามเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว พร้อมๆกับที่ไม่ “ทรยศ” ต่อตัวเองในเวลาเดียวกัน . ยกตัวอย่างเช่น . พวกเขาเป็น LGBTQ+ และครอบครัวไม่ยอมรับ ความเป็น LGBTQ+ ของพวกเขาอย่างแรง . พวกเขาพยายามอย่างหนัก เพื่อที่จะยังคง “ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง” พร้อมๆกับยังคงเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวอยู่ . พวกเขาหวังว่า สักวันหนึ่ง ครอบครัวจะเริ่มต้นยอมรับ ความเป็น LGBTQ+ ของพวกเขาได้ . เป็นต้น . แต่ในที่สุด คนกลุ่มนี้ก็ได้ค้นพบว่า ความหวังของพวกเขา ที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว โดยที่ไม่ต้อง “ทรยศ” ตัวเองนั้น มันคือความหวังที่ไม่มีทางเป็นจริงได้ . (เช่น ไม่ว่ายังไง ครอบครัวก็จะไม่ยอมรับ ความเป็น LGBTQ+ ของพวกเขาได้) . นั่นจึงเป็นวันที่พวกเขาตัดสินใจ ที่จะ “ทรยศ” ต่อครอบครัว และพาตัวเอง “เดินออกมา” ครับ . อ้างอิง Pillemer, K. A. (2020). Fault lines: fractured families and how to mend them. Avery, Penguin Random House LLC. https://psycnet.apa.org/doi/10.1606/1044-3894.4055 https://psycnet.apa.org/doi/10.1177/0886109913495727 https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/26207072/ #จิตวิทยา #siamstr

#จิตวิทยา #siamstr
journaling_our_journey
journaling_our_journey 7d

GM เช่นกันครับผม

journaling_our_journey
journaling_our_journey 5d

คุณเคยมีบางอย่างเกิดขึ้นในอดีต ที่คุณอยากจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขไหมครับ? . หลายคน (รวมทั้งตัวผมเอง) มีครับ . แต่ถึงพวกเราจะอยากย้อนเวลา กลับไปแก้อดีตขนาดไหน เราก็ไม่สามารถทำมันได้ . อย่างไรก็ตาม เราสามารถเปลี่ยน วิธีมองเหตุการณ์ในอดีตนั้นได้ครับ . ยกตัวอย่างเช่น . เราทำงานอยู่กับองค์กรแห่งหนึ่ง และเราเจอกับเจ้านายที่ toxic มาก . ทุกครั้งที่เราคุยกับงานกับเจ้านาย (ซึ่งก็คือทุกวัน) เจ้านายจะมีคำพูดที่บ่อนทำลายจิตใจเราเสมอ ไม่ว่าเราจะทำงานได้ดีแค่ไหนก็ตาม (เช่น “มีปัญญาทำได้แค่นี้หรือ?”) . มันทำให้เรากลายเป็นคนที่ไม่เหลือ ความมั่นใจและความเคารพในตัวเองโดยสิ้นเชิง . จนกระทั่งในที่สุด เราก็ตัดสินใจยื่นใบลาออก . ทุกครั้งที่เรามองย้อนกลับไป ที่การตัดสินใจลาออกในวันนั้น เราจะรู้สึกอับอายอยู่ในใจเสมอ . เพราะเรามองว่าตัวเอง “ขี้แพ้” และ “อ่อนแอ” ที่ไม่สามารถทนทำงานต่อไปในสภาพแวดล้อมดังกล่าวได้ . เราอาจจะไม่สามารถย้อนเวลา กลับไปในอดีตและตัดสินใจที่จะทนอยู่ต่อได้ . แต่แทนที่เราจะมองการตัดสินใจลาออก ว่าเป็นการตัดสินใจของคน “ขี้แพ้” เราสามารถเรียนรู้ที่จะมองว่า การตัดสินใจดังกล่าวมันสะท้อน ความกล้าหาญที่จะยืนหยัดเพื่อตัวเองได้ . เป็นต้น . นี่แหละครับ…คือ time machine ที่พวกเราทุกคนมีอยู่ในกำมือ . เพราะต่อให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตจะยังคงเดิม แต่มุมมองที่เปลี่ยนไปของเราสามารถทำให้เรา มองเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยสายตาที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปครับ . อ้างอิง https://doi.org/10.1038/35021052 https://doi.org/10.1017/s0140525x14000041 http://dx.doi.org/10.12744/ijnpt.2015.0002-0046 http://dx.doi.org/10.26613/esic.3.1.110 #จิตวิทยา #siamstr

#จิตวิทยา #siamstr

Welcome to journaling_our_journey spacestr profile!

About Me

ผมให้บริการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและนำเสนอบทความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับจิตวิทยาครับ

Interests

  • No interests listed.

Videos

Music

My store is coming soon!

Friends