**แก้ไขเพิ่มเติม: ฉบับแก้ไขอย่างเป็นระบบ โดยตั้งอยู่บนฐานของ พุทธวจน และตัดทอนส่วนที่อ้างถึง “จิตอิสระ” หรือ “จิตไปรู้นิพพาน” ซึ่งไม่ตรงตามพระพุทธดำรัสแท้ และจะชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า “จิตเป็นสังขตธรรม — ย่อมเกิด เสื่อม ดับ” “อสังขตธาตุ” ต่างหากที่เป็นสภาวะไม่เกิดไม่ดับ ไม่ใช่จิต และไม่อาจถูก “รู้” โดยจิตใด ๆ โดยคงโครงสร้างเดิมของภาคอภิธรรมไว้ แต่ปรับ นัยยะทั้งหมดให้สอดคล้องกับพุทธวจนะ และขจัดคำอธิบายที่คลาดเคลื่อนเรื่อง “จิตไปรู้นิพพาน” หรือ “จิตอิสระ” ออกโดยสิ้นเชิง ⸻ ภาคขยายเชิงพุทธวจนะ กลไกการดับแห่งสังขาร : จากสมถะสู่การสิ้นอวิชชา — มิใช่จิตไปรู้นิพพาน ⸻ ๑. ภูมิแห่งจิตเป็นเพียงสังขตธรรม พระพุทธเจ้าตรัสชัดว่า “จิตัง ภิกฺขเว อนิจจํ… อทุกฺขํ อนัตตา.” “ภิกษุทั้งหลาย! จิตไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา” (สํ.สฬา. ๑๘/๔๑๔/๒๖๘) ดังนั้น “จิตทั้ง ๘๙ ดวง” ที่กล่าวในคัมภีร์อภิธรรม เป็นเพียงสังขตธรรม — ธรรมที่เกิดจากเหตุปัจจัย มีอวิชชาเป็นราก และย่อมดับไปตามเหตุปัจจัยนั้น การที่จิตดับสังขารทีละชั้น เช่น • วจีสังขารดับในฌาน ๒ • กายสังขารดับในฌาน ๔ • จิตตสังขารดับในนิโรธสมาบัติ มิได้หมายความว่า “จิตบริสุทธิ์” หรือ “จิตอิสระ” ดำรงอยู่ หากแต่หมายถึง “การสิ้นการปรุง” ชั่วขณะเท่านั้น — เมื่อเหตุยังมี (คือ อวิชชา–ตัณหา–อุปาทาน) จิตก็กลับปรุงอีก “สังขารานํ นิโรธา นัตถิ ปะฐะวิโยติ” “เมื่อสังขารดับ หมายถึงการสิ้นปัจจัยแห่งโลก” (ขุ.ธ.อัฏฐกวรรค) จิตจึงเป็นเพียงเครื่องปรุง ไม่ใช่สิ่งรู้ถาวร ⸻ ๒. การดับของสังขารมิใช่การดำรงของจิต ใน มหาเวทัลลสูตร พระสารีบุตรกล่าวว่า “กายสังขาร ภิกฺขเว กึ? อัสสาสปัสสาสา… วจีสังขาร กึ? วิตกวิจารา… จิตตสังขาร กึ? สัญญาเวทนา.” (ม.มู. ๑๓/๔๐๓/๓๘๐) เมื่อฌานพัฒนา จนถึง สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ, สังขารทั้งสามดับชั่วคราว แต่ยังไม่สิ้นอวิชชา — เพราะยังมี “ปัจจัยแห่งการกลับปรุง” เมื่อออกจากสมาบัติ นี่คือ “นิโรธแห่งสมาธิ” ไม่ใช่ “นิโรธแห่งอาสวะ” เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า — “โย อาสวานํ ขยํ ปชานาติ, อาสวานํ ขโยติ ปชานาติ, โส อรหันโตติ วุจฺจติ.” “ผู้รู้แจ้งความสิ้นอาสวะ ย่อมชื่อว่าอรหันต์” (องฺ.ติก. ๒๐/๔๕๐) ดังนั้น การดับของสังขารในฌาน ไม่ใช่การรู้แจ้งนิพพาน เพราะจิตในสมาบัติยังเป็น “จิตปรุง” มิใช่ “อสังขตธาตุ” ⸻ ๓. อสังขตธาตุ ไม่ใช่จิต — และจิตไม่อาจรู้นิพพานได้ ใน อิติวิตกสูตร พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “อตฺถิ ภิกฺขเว อชาตํ อภูตํ อกตํ อสังขตํ… นตฺถิ ภิกฺขเว อชาตํ อภูตํ อกตํ อสังขตํ, เนตฺถํ ปชานติ อาชาตํ ภูตํ กตํ สังขตํ ปฏิสฺสตฺติ น ภเวยฺย.” (อิติ. ๔๓) อสังขตธาตุ (นิพพานธาตุ) จึงเป็นสิ่งที่ “ไม่เกิด ไม่ทำ ไม่ปรุง” ไม่อยู่ในขอบเขตแห่ง “จิต” หรือ “วิญญาณ” ใด ๆ เพราะ จิตเป็นสังขตะ ส่วน อสังขตะ มิได้มีสภาพรู้อะไร — แต่เป็น “ความสิ้นของสิ่งที่รู้อยู่นั่นเอง” “นตฺถิ ตโต ปรํ วิญฺญาณํ.” “ไม่มีวิญญาณใดเหนือไปกว่านั้น.” (ขุ.อุทาน. นิพพานสูตร) ดังนั้น คำว่า “วิมุตติญาณทัสสนะ” จึงมิได้หมายถึง “จิตไปรู้” นิพพาน แต่หมายถึง “ญาณที่รู้ชัดว่าความหลุดพ้นเกิดแล้ว” ในขณะจิตสุดท้ายที่ยังเป็นสังขตธรรม ก่อนดับสนิท ⸻ ๔. ธาตุรู้ — มิใช่จิต แต่เป็นธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง เมื่อพระอรหันต์สิ้นอาสวะแล้ว พระองค์ตรัสว่า “วิญญาณํ อนุปาทํ นิพฺพานํ.” (องฺ.นิ. ๒/๕๕๘) ประโยคนี้หมายว่า “วิญญาณที่ไม่อาศัยอุปาทาน” ไม่ใช่วิญญาณที่ดำรงอยู่ แต่หมายถึง ความสิ้นของการอาศัย — เมื่อไม่มีอุปาทาน ธาตุรู้ที่ไม่อิงจิตจึงปรากฏโดยไม่ปรุง ธาตุรู้นี้มิใช่ “จิต” เพราะ “จิตัง ภิกฺขเว อนัตตา.” “จิตไม่ใช่ตัวตน.” แต่เป็น อสังขตธาตุ — ธรรมชาติที่พ้นการปรุงแต่งทั้งปวง ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่รู้อะไร เพราะไม่มีสิ่งให้รู้ แต่เป็น “ภาวะแห่งการสิ้นรู้ทั้งปวง” อันสงบสนิท ⸻ ๕. วิมุตติญาณทัสสนะที่แท้ — ญาณเห็นความสิ้น ไม่ใช่ผู้รู้สิ่งสิ้น คำว่า วิมุตติญาณทัสสนะ มิได้หมายถึง “จิตรู้ว่านิพพาน” แต่หมายถึง “ญาณรู้ชัดว่า การหลุดพ้นแล้วมีอยู่จริง” — คือ “ญาณรู้การสิ้นของจิต” ไม่ใช่ “จิตรู้การสิ้นของจิตตนเอง” “โย ปชานาติ สังขารานํ นิโรธํ, โส ปชานาติ อวิชชาย นิโรธํ.” (ขุ.ธ.อัฏฐกวรรค) เมื่ออวิชชาดับ สังขารดับ วิญญาณดับ — “ผู้รู้” ก็ดับ เหลือแต่ “ธาตุรู้” อันไม่อาศัยเหตุใด ๆ นี่แหละคือ อสังขตธาตุ — นิพพานแท้ ⸻ ๖. สรุปนัยแห่งพุทธวจนะ 1. จิตทั้งปวงเป็นสังขตธรรม — เกิดจากเหตุปัจจัย ย่อมเสื่อมดับ 2. อสังขตธาตุ มิใช่จิต — เป็นธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง ไม่รู้อะไร 3. วิมุตติญาณทัสสนะ มิใช่จิตรู้นิพพาน แต่เป็นญาณรู้ชัดว่าจิตสิ้นแล้ว 4. นิพพาน จึงไม่ใช่สิ่งที่จิตเข้าไปอยู่ หากเป็นความสิ้นของสิ่งที่เรียกว่า “จิต” 5. ธาตุรู้ที่แท้ มิใช่จิต หากเป็นธรรมชาติไม่เกิดไม่ดับ — ไม่ใช่ผู้รู้ แต่เป็น “ภาวะที่สิ้นผู้รู้”