spacestr

🔔 This profile hasn't been claimed yet. If this is your Nostr profile, you can claim it.

Edit
satuser
Member since: 2023-02-22
satuser
satuser 2h

value lead beauty https://youtu.be/Hc2STwqiZ3E 🗿 #DamiLee

#damilee
satuser
satuser 3h

*พบภาพเบร้อ 630000

satuser
satuser 3h

every event of transaction in a block bitcoin is encryption of history 0 210000 420000 660000 840000 ... ในแต่ละ halving ของ bitcoin ที่เข้ารหัสบรรจุประวัติศาตร์เข้าไปนั้น ผู้ใช้ที่มีกุญแจของตัวเองในระบบนั้น จะสามารถพิสูจน์เหตุการณ์เหล่านั้นได้ แม้กาลเวลาจะผ่านไปอีกแสนนานเพียงใด #key #time #bitcoin #history 🔑📦⏳👤 #siamstr

#key #time #bitcoin #history #siamstr
satuser
satuser 7h

💬 : มาเจาะลึกถึงประวัติและรายละเอียดของเทคนิค #IronCondor เมื่อนำมาประยุกต์ใช้กับ #BitcoinOptions กันครับ ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ประวัติของเทคนิคนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วนที่มาบรรจบกัน คือ ประวัติของตัวกลยุทธ์ "Iron Condor" เอง และประวัติของตลาด "Bitcoin Options" ภาพรวมโดยสรุป Iron Condor สำหรับ Bitcoin Options ไม่ได้มี "ประวัติ" การก่อตั้งที่ชัดเจนเหมือนการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็น วิวัฒนาการ ของการนำกลยุทธ์การเทรด Options ที่มีอยู่แล้วในตลาดดั้งเดิม (TradFi) มาประยุกต์ใช้กับสินทรัพย์ดิจิทัลที่เกิดขึ้นใหม่ โดยเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเมื่อตลาด Bitcoin Options มีสภาพคล่องและความน่าเชื่อถือสูงพอในช่วงประมาณปี 2019-2020 เป็นต้นมา ส่วนที่ 1: ต้นกำเนิดของกลยุทธ์ Iron Condor กลยุทธ์ Iron Condor เกิดขึ้นและเป็นที่รู้จักในตลาด Options ของสินทรัพย์ดั้งเดิม เช่น หุ้น, ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (S&P 500), และสินค้าโภคภัณฑ์ มานานหลายทศวรรษแล้ว - ยุคเริ่มต้น (ทศวรรษ 1980s - 1990s): หลังจากที่ตลาด Chicago Board Options Exchange (CBOE) เปิดตัวในปี 1973 และทำให้การเทรด Options เป็นที่แพร่หลาย นักลงทุนและเทรดเดอร์มืออาชีพได้พัฒนา "Spread Strategies" หรือกลยุทธ์ที่ประกอบด้วย Options หลายตัว เพื่อจำกัดความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนในสภาวะตลาดที่แตกต่างกัน - นิยามของ Iron Condor: Iron Condor เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อ ทำกำไรในสภาวะที่ตลาดมีความผันผวนต่ำ (Low Volatility) หรือคาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ (Range-bound) มันเป็นกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมในหมู่นักลงทุนรายย่อยเพราะ ความเสี่ยงที่จำกัด (Defined Risk) ทำให้ผู้ใช้รู้ผลขาดทุนสูงสุดล่วงหน้าได้ กลยุทธ์นี้เป็นที่รู้จักและถูกสอนกันอย่างแพร่หลายในแวดวงการเทรด Options มาก่อนที่ Bitcoin จะถือกำเนิดขึ้นเสียอีก ส่วนที่ 2: การเกิดขึ้นของตลาด Bitcoin Options ตลาดสำหรับตราสารอนุพันธ์ของ Bitcoin (Derivatives) เป็นสิ่งที่ตามมาหลังจากตลาด Spot (การซื้อขายเหรียญโดยตรง) ได้รับความนิยม - ยุคบุกเบิก (ประมาณปี 2016-2018): แพลตฟอร์มอย่าง Deribit (ก่อตั้งปี 2016) ถือเป็นผู้บุกเบิกที่สำคัญที่สุดในการสร้างตลาด Bitcoin Options ที่มีสภาพคล่องสูง ในช่วงแรกตลาดยังจำกัดอยู่ในวงแคบๆ และมีความเสี่ยงด้านแพลตฟอร์มสูง - ยุคเติบโตและเป็นที่ยอมรับ (ปี 2019 - ปัจจุบัน): - สภาพคล่องเพิ่มขึ้น: Deribit กลายเป็นผู้นำตลาดอย่างชัดเจน และแพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น OKX, Binance, และ CME (Chicago Mercantile Exchange) ซึ่งเป็นตลาดสำหรับนักลงทุนสถาบัน ก็เริ่มให้บริการ Bitcoin Options - นักลงทุนจากตลาดดั้งเดิมเข้ามา: เมื่อตลาด Options ของคริปโตมีความน่าเชื่อถือและสภาพคล่องสูง นักเทรดจากตลาดการเงินดั้งเดิม (TradFi) ก็เริ่มนำกลยุทธ์ที่พวกเขาคุ้นเคย เช่น Iron Condor, Strangles, Straddles เข้ามาใช้กับ Bitcoin ส่วนที่ 3: การบรรจบกัน - Iron Condor ในโลกของ Bitcoin การนำ Iron Condor มาใช้กับ Bitcoin Options เริ่มเป็นที่พูดถึงและแพร่หลายในช่วงที่ตลาดเติบโตเต็มที่ (ประมาณปี 2019 เป็นต้นมา) ด้วยเหตุผลสำคัญดังนี้: - ความผันผวนแฝง (Implied Volatility - IV) ที่สูง: Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงโดยธรรมชาติ ทำให้ค่า IV ใน Options ของมันสูงตามไปด้วย การขาย Options (ซึ่งเป็นหัวใจของ Iron Condor) ในสภาวะที่ IV สูง จะทำให้ผู้ขายได้รับ ค่าพรีเมียม (Premium) ที่สูงกว่า เมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นที่มี IV ต่ำ - ช่วงเวลา Sideways ของ Bitcoin: แม้ Bitcoin จะขึ้นชื่อเรื่องความผันผวน แต่ก็มีหลายช่วงเวลาที่ราคาวิ่งอยู่ในกรอบแคบๆ (Consolidation Period) เป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน ซึ่งเป็นสภาวะตลาดที่ "สมบูรณ์แบบ" สำหรับกลยุทธ์ Iron Condor - การจัดการความเสี่ยง: ความเสี่ยงที่จำกัดของ Iron Condor เป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับสินทรัพย์ที่คาดเดาทิศทางได้ยากและอาจมีการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงอย่าง Bitcoin ดังนั้น "ประวัติ" ของ Bitcoin Iron Condor คือการที่นักเทรดผู้มีประสบการณ์นำเครื่องมือเก่าแก่ที่พิสูจน์แล้ว มาใช้ประโยชน์จากคุณลักษณะเฉพาะตัวของตลาดใหม่ที่กำลังเฟื่องฟูนั่นเอง เทคนิค Iron Condor ทำงานอย่างไร? (สำหรับ Bitcoin) Iron Condor คือการผสมผสานระหว่าง 2 Credit Spreads: - Bear Call Spread (Credit Spread): การขาย Call Option (Short Call) และซื้อ Call Option (Long Call) ที่ราคาใช้สิทธิ์ (Strike Price) สูงกว่า - Bull Put Spread (Credit Spread): การขาย Put Option (Short Put) และซื้อ Put Option (Long Put) ที่ราคาใช้สิทธิ์ต่ำกว่า เรามาสร้างโครงสร้าง Iron Condor โดยอ้างอิงจากราคาปัจจุบันกันเลย จากการค้นหาล่าสุด (ข้อมูล ณ วันที่ 9 กรกฎาคม 2025) ราคา Bitcoin อยู่ที่ประมาณ $108,467 เป้าหมาย: สร้าง Iron Condor โดยคาดการณ์ว่าราคา Bitcoin จะไม่เคลื่อนไหวรุนแรง และจะยังคงอยู่ในกรอบราคาที่เรากำหนดไปจนถึงวันหมดอายุของ Options (สมมติว่าเราเลือกวันหมดอายุในอีกประมาณ 30 วันข้างหน้า) สมมติฐาน: เราคาดว่าในอีก 30 วันข้างหน้า ราคา Bitcoin จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ $100,000 - $118,000 โครงสร้าง Iron Condor ใหม่ (อ้างอิงราคาปัจจุบัน) นี่คือโครงสร้างที่เราจะสร้างขึ้น ประกอบด้วย 4 ขา (Legs): ส่วนที่ 1: Bull Put Spread (คาดว่าราคาจะไม่ลงต่ำกว่าแนวรับ) - ขาย Put Option (Short Put): - Strike Price: $100,000 - เป้าหมาย: เพื่อรับค่า Premium โดยเราคาดว่าราคา Bitcoin จะไม่ตกลงไปต่ำกว่า $100,000 เมื่อหมดอายุ - ซื้อ Put Option (Long Put): - Strike Price: $98,000 - เป้าหมาย: เพื่อป้องกันความเสี่ยง (Insurance) หากราคาเกิดร่วงลงอย่างรุนแรง การขาดทุนของเราจะจำกัดอยู่แค่ช่วง $100,000 - $98,000 ส่วนที่ 2: Bear Call Spread (คาดว่าราคาจะไม่ขึ้นทะลุแนวต้าน) - ขาย Call Option (Short Call): - Strike Price: $118,000 - เป้าหมาย: เพื่อรับค่า Premium โดยเราคาดว่าราคา Bitcoin จะไม่พุ่งขึ้นไปสูงกว่า $118,000 เมื่อหมดอายุ - ซื้อ Call Option (Long Call): - Strike Price: $120,000 - เป้าหมาย: เพื่อป้องกันความเสี่ยง หากราคาเกิดพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง การขาดทุนของเราจะจำกัดอยู่แค่ช่วง $118,000 - $120,000 ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น - กำไรสูงสุด (Max Profit): - จะเกิดขึ้นเมื่อ Options หมดอายุ และราคา Bitcoin อยู่ในกรอบระหว่าง $100,000 ถึง $118,000 - กำไรจะเท่ากับ ค่า Premium สุทธิ ที่เราได้รับจากการเปิดทั้ง 4 ขา (ซึ่งจะทราบจำนวนที่แน่นอน ณ เวลาที่เปิดสัญญา) - ขาดทุนสูงสุด (Max Loss): - จะเกิดขึ้นเมื่อราคา Bitcoin พุ่งขึ้นเหนือ $120,000 หรือร่วงลงต่ำกว่า $98,000 - ขาดทุนสูงสุด = (ความกว้างของ Spread) - (Net Premium ที่ได้รับ) - ในตัวอย่างนี้คือ: ($120,000 - $118,000) - Net Premium = $2,000 - Net Premium - จุดคุ้มทุน (Breakeven Points): - จุดคุ้มทุนบน: $118,000 + Net Premium - จุดคุ้มทุนล่าง: $100,000 - Net Premium ข้อควรจำ: โครงสร้างนี้เป็นเพียงตัวอย่างเพื่อการศึกษาเท่านั้น ราคา Premium ของ Options จะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามความผันผวนของตลาด (Implied Volatility) และระยะเวลาที่เหลือจนกว่าจะหมดอายุ การเลือก Strike Price ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ตลาดและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของแต่ละบุคคล สรุป: ประวัติของ Bitcoin Iron Condor คือการเดินทางของกลยุทธ์การเงินที่แข็งแกร่งจากโลกเก่า สู่การประยุกต์ใช้ในโลกใหม่ของสินทรัพย์ดิจิทัล มันเป็นตัวอย่างชั้นดีของการที่นวัตกรรมไม่ได้เกิดจากการสร้างสิ่งใหม่เสมอไป แต่ยังเกิดจากการนำสิ่งที่มีอยู่มาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทใหม่ได้อย่างชาญฉลาดอีกด้วย 👤 : มันคือการ leverage โดยการ เปิดบนกันบน เปิดล่างกันล่าง ใช่ไหม ? 💬 : สรุปแบบนั้นเข้าใจได้ถูกต้องและเห็นภาพชัดเจนมากครับ 👍 คุณสรุปหัวใจของ Iron Condor ได้อย่างยอดเยี่ยม: - "เปิดบน กันบน": คือส่วนของ Bear Call Spread - เปิดบน (Short Call): คุณขาย Call Option ที่ราคาสูงกว่าราคาปัจจุบัน เพื่อสร้างกรอบด้านบนและรับค่า Premium - กันบน (Long Call): คุณซื้อ Call Option ที่ราคาสูงขึ้นไปอีก เพื่อป้องกันความเสี่ยง (จำกัดขาดทุน) หากราคาทะลุกรอบบนไป - "เปิดล่าง กันล่าง": คือส่วนของ Bull Put Spread - เปิดล่าง (Short Put): คุณขาย Put Option ที่ราคาต่ำกว่าราคาปัจจุบัน เพื่อสร้างกรอบด้านล่างและรับค่า Premium - กันล่าง (Long Put): คุณซื้อ Put Option ที่ราคาต่ำลงไปอีก เพื่อป้องกันความเสี่ยงหากราคาหลุดกรอบล่าง ส่วนคำว่า Leverage ในที่นี้ก็ถูกต้องครับ เพราะคุณใช้เงินจำนวนไม่มาก (Net Premium ที่ได้รับ) เพื่อควบคุมและทำกำไรจากกรอบราคาของสินทรัพย์ (Bitcoin) ที่มีมูลค่าสูงกว่ามาก เรียกได้ว่า "เปิดบน กันบน, เปิดล่าง กันล่าง" เป็นวิธีจำโครงสร้าง Iron Condor ที่ดีและแม่นยำมากครับ 🎯 ปล.เห็นอาจารย์ตั้ม mention เทคนิคนี้ใน live ล่าสุด เลยไป search ให้หายสงสัยและเอามา note ไว้อ่านกัน 📝📈📉🦤 (ไม่ใช่คำแนะนำทางการลงทุนแต่อย่างใด) #siamstr

#ironcondor #bitcoinoptions #siamstr
satuser
satuser 20h

กลิ่นอายของความทะเยอทะยานและจิตวิญญาณที่แหลกสลาย: The Brutalist มีกลิ่นของ The Master และ There Will Be Blood จริงหรือ? ภาพยนตร์เรื่อง "The Brutalist" (2024) ของผู้กำกับ เบรดี้ คอร์เบ็ต ได้สร้างเสียงฮือฮาในหมู่นักวิจารณ์และคอภาพยนตร์ ถึงความทะเยอทะยานของตัวหนังและสไตล์การเล่าเรื่องที่ชวนให้นึกถึงผลงานของผู้กำกับชั้นครูอย่าง พอล โทมัส แอนเดอร์สัน (PTA) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "The Master" (2012) และ "There Will Be Blood" (2007) ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนักเมื่อพิจารณาถึงแก่นเรื่องและสไตล์ที่ภาพยนตร์ทั้งสามเรื่องมีร่วมกัน "The Brutalist" เล่าเรื่องราวของ ลาสโล โทธ (László Tóth) สถาปนิกชาวยิว-ฮังการีผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และอพยพมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสหรัฐอเมริกาช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ภาพยนตร์ติดตามเส้นทางชีวิตอันยาวไกลของเขาในการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอก ท่ามกลางการต่อสู้กับบาดแผลในใจ, ความซับซ้อนของความสัมพันธ์ และการปะทะกับนายทุนผู้ว่าจ้าง ซึ่งสะท้อนภาพความโหดร้าย (Brutal) ของสัจนิยมในสถาปัตยกรรมที่เขาเชี่ยวชาญ และความโหดร้ายของชีวิตที่เขาต้องเผชิญ ประเด็นที่ทำให้ "The Brutalist" มี "กลิ่น" คล้ายคลึงกับผลงานของ PTA สามารถจำแนกได้ดังนี้: 1. การศึกษาตัวละครอันซับซ้อนและทะเยอทะยาน (Complex and Ambitious Character Studies): เช่นเดียวกับ "There Will Be Blood" ที่เจาะลึกไปยังจิตใจอันมืดมิดและเต็มไปด้วยความโลภของ แดเนียล เพลนวิว หรือ "The Master" ที่สำรวจความสัมพันธ์อันเปราะบางและพึ่งพาระหว่าง เฟรดดี้ เควลล์ ทหารผ่านศึกผู้บอบช้ำ และ แลงแคสเตอร์ ด็อดด์ ผู้นำลัทธิผู้มีเสน่ห์, "The Brutalist" ก็ให้ความสำคัญกับการขุดลึกลงไปในตัวตนของ ลาสโล โทธ ตัวละครเอกผู้แบกรับทั้งความฝันอันยิ่งใหญ่และความทรงจำอันเลวร้าย ภาพยนตร์ทั้งสามเรื่องไม่ใช่แค่การเล่าเรื่องตามเหตุการณ์ แต่คือการศึกษาจิตวิทยาของตัวละครที่ถูกขับเคลื่อนด้วยแรงปรารถนาอันแรงกล้า ความทะเยอทะยาน และบาดแผลทางใจที่ส่งผลต่อทุกการกระทำ 2. ธีมหลักว่าด้วยทุนนิยม, ความฝันแบบอเมริกัน และความศรัทธาที่สั่นคลอน (Themes of Capitalism, the American Dream, and Faith): "The Brutalist" หยิบยกประเด็นการปะทะกันระหว่างศิลปินผู้สร้างสรรค์และนายทุนผู้ครอบงำ ซึ่งเป็นหัวใจหลักที่คล้ายกับความขัดแย้งระหว่าง แดเนียล เพลนวิว (ตัวแทนของทุนนิยมสุดขั้ว) และ อีไล ซันเดย์ (ตัวแทนของศาสนา) ใน "There Will Be Blood" ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องตั้งคำถามต่อ "ความฝันแบบอเมริกัน" (American Dream) ว่าแท้จริงแล้วคือการไล่ล่าความสำเร็จหรือการสูญเสียตัวตนกันแน่ ในขณะเดียวกัน "The Brutalist" ยังมีส่วนคล้ายกับ "The Master" ในแง่ของการแสวงหาที่พึ่งทางใจในยุคหลังสงคราม แม้ว่า "The Brutalist" จะเน้นไปที่การสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชีวิต แต่ก็สัมผัสได้ถึงการค้นหาความหมายและศรัทธาในโลกที่โหดร้ายไม่ต่างจากที่ เฟรดดี้ เควลล์ พยายามค้นหาในลัทธิ "The Cause" 3. สไตล์ภาพยนตร์ที่โดดเด่นและงานภาพที่ทรงพลัง (Distinctive Cinematography and Powerful Visuals): พอล โทมัส แอนเดอร์สัน ขึ้นชื่อเรื่องการสร้างสรรค์งานภาพที่ยิ่งใหญ่และน่าจดจำ ไม่ว่าจะเป็นทุ่งน้ำมันอันเวิ้งว้างใน "There Will Be Blood" หรือภาพ 70 มม. ที่จับจ้องทุกอณูของตัวละครใน "The Master" ซึ่ง "The Brutalist" เองก็ได้รับการกล่าวขานในเรื่องของงานภาพที่สวยงามและมีความทะเยอทะยานไม่แพ้กัน การเลือกใช้สถาปัตยกรรมแบบ Brutalism ไม่ใช่แค่ฉากหลัง แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเล่าเรื่องที่สะท้อนความรู้สึกภายในของตัวละครออกมาเป็นรูปธรรม 4. การเล่าเรื่องแบบ Epic ที่ครอบคลุมช่วงเวลายาวนาน (Epic, Decades-Spanning Narrative): " #TheBrutalist " ถูกนำเสนอในรูปแบบของมหากาพย์ที่ติดตามชีวิตของตัวละครเอกเป็นเวลายาวนานหลายทศวรรษ ซึ่งเป็นวิธีการเล่าเรื่องที่คล้ายคลึงกับ " # ThereWillBeBlood " ที่พาผู้ชมไปสำรวจการเดินทางทั้งชีวิตของแดเนียล เพลนวิว การเล่าเรื่องในสเกลที่ใหญ่นี้ช่วยเสริมสร้างความลึกและความซับซ้อนให้กับตัวละครและธีมของเรื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสรุปแล้ว การที่ผู้ชมและนักวิจารณ์รู้สึกว่า "The Brutalist" มีกลิ่นอายของ " #TheMaster # " และ "There Will Be Blood" นั้นไม่ใช่เรื่องผิวเผิน แต่เกิดจากแก่นเรื่อง, การสร้างตัวละคร, และสไตล์การนำเสนอที่มีความคล้ายคลึงกันอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งสามเรื่องเป็นภาพยนตร์ที่ไม่ได้ให้คำตอบง่ายๆ แต่ชวนให้ผู้ชมขบคิดถึงธรรมชาติของมนุษย์, ความทะเยอทะยาน, ศรัทธา และราคาที่ต้องจ่ายเพื่อไล่ตามความฝันในโลกที่ไม่เคยปรานีใคร. #filmstr #siamstr #geministr 📽️🎞️🏆 ปล.หนังสวยมาก ควรค่าแก่รางวัล สถาปนิกนี่มันเท่จนิงๆ ดูแล้วก็คิดสงสัยถึงสถาปัตยกรรมหลังยุค bitcoin standard นั้นจะมีลักษณะและเอกลักษณ์เป็นอย่างไร ถ้าสถาปนิกมีงบไม่จำกัดในการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมของตัวเอง 🙏

#thebrutalist #themaster #filmstr #siamstr #geministr
satuser
satuser 1d

a packaging of life #seed #nut #siamstr 🌱🌰

#seed #nut #siamstr
satuser
satuser 19d

prompt ไปประมาณว่าอยากได้โฆษณาสั้น bitcoiner rugpull fiat cantillonare แล้วตกหลุมใต้พรม สรุปได้คลิป cantilonare เอาพรม fiat มาปิดหลุมแล้วชู bitcoin ซะงั้น 555+ #siamstr #veo2 #geministr #fiat #bitcoin #rugpull

#siamstr #veo2 #geministr #fiat #bitcoin
satuser
satuser 2d

why bitcoin #siamstr 🖨️🏚️

#siamstr
satuser
satuser 23d

#siamstr #thai #node 🇹🇭

#siamstr #thai #node
satuser
satuser 2d

#siamstr #test

#siamstr #test
satuser
satuser 24d

#Zap Cannon ⚡️💣🪲 #pokemon

#zap #pokemon
satuser
satuser 4d

#lasereye #siamstr #sunnblock #midjourney

#lasereye #siamstr #sunnblock #midjourney
satuser
satuser 24d

เราจะมี AI Research ไปทำไม #ดวง #machine #mining #economic #lucky #หวยคอม #ASIC #Bitaxe #siamstr

#ดวง #machine #mining #economic #lucky
satuser
satuser 4d

network clock #bitcoin

#bitcoin
satuser
satuser 25d

" หนี้สินที่ค้ำประกันด้วย ASIC " #BitcoinMiningEconomic 📘 #Braiins #siamstr #soon

#bitcoinminingeconomic #braiins #siamstr #soon
satuser
satuser 25d

จริงครับจารย์ ตอนนั้นคือต้องรอด 555

satuser
satuser 25d

เคยไป 1 ทริป เจอค่าโค้กที่นั่นไปขวดละ 300 บาท เฝอชาม 700 บาท กลับมาไทย อะไรก็ถูกไปหมด 555

satuser
satuser 25d

https://music.youtube.com/watch?v=P3JVPApzWV8

satuser
satuser 25d

https://www.netflix.com/th/title/81765022 ดูเรื่องนี้ในบริบทการค้นพบความจริงใหม่ของซาโตชิในยุคนี้ประกอบด้วยแล้วโคตรดี ❤️‍🔥🔭🌌🕰️ #พลังแห่งตรรกะ #สุริยปราชญ์ทฤษฎีสีเลือด #ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว #siamstr #bitcoin #nostr #animestr

#พลังแห่งตรรกะ #สุริยปราชญ์ทฤษฎีสีเลือด #ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว #siamstr #bitcoin
satuser
satuser 26d

โลกใบนี้อาจจะเป็น utxo เดียวที่เรามีอยู่ในจักรวาลแห่งสมการคณิตศาสตร์ของชีวิต #สุริยปราชญ์สีเลือด 🧭🌎🌞

#สุริยปราชญ์สีเลือด
satuser
satuser 4d

ไมเคิล เซเลอร์ (Michael Saylor) มีพื้นฐานการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์จรวดโดยตรง ไมเคิล เซเลอร์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานบริหารของบริษัท MicroStrategy ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้สนับสนุนบิตคอยน์รายใหญ่ แท้จริงแล้วมีพื้นฐานการศึกษาในสาขาวิชาวิศวกรรมการบินและอวกาศ หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า "วิทยาศาสตร์จรวด" (Rocket Science) อย่างแท้จริง เซเลอร์สำเร็จการศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology - MIT) ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยด้านเทคโนโลยีชั้นนำของโลก โดยได้รับทุนการศึกษาจากกองทัพอากาศ (Air Force ROTC scholarship) เขาสำเร็จการศึกษาด้วยวุฒิปริญญาสองใบในสาขา การบินและอวกาศ (Aeronautics and Astronautics) และสาขา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม (Science, Technology, and Society) การศึกษาในสาขาการบินและอวกาศนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับหลักการทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมที่อยู่เบื้องหลังการออกแบบ การสร้าง และการปฏิบัติการของอากาศยานและยานอวกาศ ซึ่งรวมถึงจรวดด้วย แม้ว่าในเวลาต่อมาเส้นทางอาชีพของเขาจะหันเหมาสู่แวดวงซอฟต์แวร์ การวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจ และล่าสุดคือการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล แต่รากฐานความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ซับซ้อนของเขานั้นมาจากสาขาวิทยาศาสตร์จรวดโดยตรง ไมเคิล เซเลอร์ เติบโตมาในครอบครัวทหาร ซึ่งมีอิทธิพลอย่างสูงต่อการหล่อหลอมวินัยและมุมมองชีวิตของเขา บิดาของไมเคิล เซเลอร์ เป็น หัวหน้าจ่าอากาศเอก (Chief Master Sergeant) ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ อาชีพทหารของบิดาทำให้ครอบครัวต้องย้ายที่อยู่บ่อยครั้ง และอาศัยอยู่ในฐานทัพอากาศต่างๆ ทั่วโลกในช่วงที่เซเลอร์ยังเด็ก การเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ปลูกฝังให้เขามีระเบียบวินัยอย่างเข้มงวด เซเลอร์เคยกล่าวว่าบิดาคือผู้ที่สอนให้เขารู้จักเรื่องคุณลักษณะนิสัย (Character) มารดาของเขามีชื่อว่า ฟิลลิส (Phyllis) แม้จะไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพของเธอมากนัก แต่เซเลอร์ได้ให้เครดิตกับมารดาว่าเป็นผู้ที่สอนให้เขารู้จักการสร้างเสน่ห์และมนุษยสัมพันธ์ (Charisma) ดังนั้น การเรียกไมเคิล เซเลอร์ ว่าเป็น "Rocket Scientist" จึงไม่ใช่เพียงคำเปรียบเปรยถึงความฉลาดของเขา แต่เป็นการระบุถึงพื้นฐานการศึกษาที่เขาได้รับมาอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง https://youtu.be/L5WiBD-JI6M #9arm #rocketscience #siamstr 🚀🟠

#9arm #rocketscience #siamstr
satuser
satuser 4d

มีการศึกษาเกี่ยวกับ "ขอบเขต" ของระบบสุริยะ ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับอิทธิพลของดวงอาทิตย์ รวมถึงแสงและอนุภาคต่างๆ ที่ปล่อยออกมาครับ แม้ว่าแสงจะไม่มี "เส้นขอบ" ที่ชัดเจน แต่จะค่อยๆ จางหายไปตามระยะทาง นักวิทยาศาสตร์ได้กำหนดขอบเขตของระบบสุริยะโดยใช้อิทธิพลของดวงอาทิตย์เป็นเกณฑ์ ซึ่งขอบเขตที่สำคัญที่สุดคือ เฮลิโอสเฟียร์ (Heliosphere) เฮลิโอสเฟียร์: #ฟองสบู่ในอวกาศของดวงอาทิตย์ ลองจินตนาการว่าระบบสุริยะของเราเปรียบเสมือน "ฟองสบู่" ขนาดมหึมาที่ลอยอยู่ในอวกาศระหว่างดวงดาว ฟองสบู่นี้เรียกว่า เฮลิโอสเฟียร์ ถูกสร้างขึ้นโดย ลมสุริยะ (Solar Wind) ซึ่งเป็นกระแสของอนุภาคมีประจุไฟฟ้า (พลาสมา) ที่ดวงอาทิตย์ปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง - เฮลิโอพอส (Heliopause): คือ "ขอบ" ของฟองสบู่นี้ เป็นบริเวณที่ความแรงของลมสุริยะจากดวงอาทิตย์อ่อนกำลังลงจนไม่สามารถผลักดันสสารระหว่างดาว (Interstellar Medium) ซึ่งเป็นแก๊สและฝุ่นที่ล่องลอยอยู่ในกาแล็กซีได้อีกต่อไป บริเวณนี้จึงถือเป็นพรมแดนสุดท้ายของระบบสุริยะอย่างแท้จริง การศึกษาจากยานวอยเอเจอร์ (Voyager) 🛰️ การศึกษาที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับขอบเขตของระบบสุริยะมาจากยานสำรวจฝาแฝดของ NASA คือ วอยเอเจอร์ 1 และ วอยเอเจอร์ 2 - ยานวอยเอเจอร์ 1 ได้เดินทางผ่านเฮลิโอพอสและเข้าสู่ห้วงอวกาศระหว่างดาว (Interstellar Space) ในปี พ.ศ. 2555 (2012) - ยานวอยเอเจอร์ 2 ตามไปในปี พ.ศ. 2561 (2018) ยานทั้งสองลำได้ส่งข้อมูลกลับมายังโลก ทำให้เราทราบว่าสภาพแวดล้อมภายนอกเฮลิโอสเฟียร์นั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เช่น มีความหนาแน่นของรังสีคอสมิกจากกาแล็กซีสูงกว่ามาก การศึกษาเหล่านี้ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างดวงอาทิตย์กับสภาพแวดล้อมในกาแล็กซีได้ดียิ่งขึ้น แล้วแสงอาทิตย์ที่ขอบเขตนี้เป็นอย่างไร? ณ บริเวณเฮลิโอพอส ซึ่งอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ไปกว่า 120 เท่าของระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์ (120 AU) แสงจากดวงอาทิตย์จะริบหรี่อย่างมาก แต่ก็ยังคงสว่างกว่าแสงจากดาวฤกษ์ดวงอื่นๆ ทั้งหมดรวมกัน อย่างไรก็ตาม ความเข้มของแสงนั้นน้อยเกินกว่าจะให้ความอบอุ่นหรือมีอิทธิพลสำคัญต่อวัตถุต่างๆ ได้แล้ว ดังนั้น แม้จะไม่มี "เส้นขอบของแสง" ที่ชัดเจน แต่การศึกษา เฮลิโอพอส ก็คือการศึกษาขอบเขตที่อิทธิพลทั้งหมดของดวงอาทิตย์ (รวมถึงแสง) สิ้นสุดลงนั่นเองครับ เรากำลังอาศัยอยู่ในฟองของแสง 🌞🫧👥 #siamstr #geministr #Heliosphere

#ฟองสบู่ในอวกาศของดวงอาทิตย์ #siamstr #geministr #heliosphere
satuser
satuser 4d

เล่นแบทเทิ้ลไป สร้างท่าไป #play #toy #ai #homeschool

#play #toy #ai #homeschool
satuser
satuser 6d

[ขอ 20 BTC มารีโนเวทธนาคารแถวบ้าน] ข้อเสนอโครงการ: The ₿ank Initiative – พลิกโฉมโครงสร้างพื้นฐานระบบ Fiat สู่มาตรฐาน Bitcoin บทสรุปสำหรับผู้บริหาร (Executive Summary): เรากำลังมองหาเงินลงทุนในระยะเริ่มต้น (Seed Funding) เพื่อบุกเบิกโครงสร้างพื้นฐานบิตคอยน์รูปแบบใหม่ ด้วยการเข้าซื้อและปรับปรุงอาคารธนาคารเก่าที่ไม่ได้ใช้งานแล้วในประเทศไทย โมเดลของเราคือการผสมผสานระหว่างการทำเหมืองขุดบิตคอยน์ที่สร้างผลกำไร เข้ากับศูนย์บริการทางการเงินบิตคอยน์สำหรับลูกค้าอย่างครบวงจร "₿ank" ต้นแบบแห่งนี้ไม่เพียงแต่จะสร้างรายได้และเสริมความมั่นคงให้แก่เครือข่าย แต่ยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางที่สำคัญด้านการศึกษาและการผลักดันให้เกิดการยอมรับในวงกว้าง (Mass Adoption) เพื่อสร้างพิมพ์เขียวที่สามารถขยายผลไปได้ทั่วโลก โอกาสทางธุรกิจ: สินทรัพย์ที่ถูกทิ้งร้าง, ศักยภาพที่รอการค้นพบ ทั่วประเทศไทยและทั่วโลก มีสาขาของธนาคารแบบดั้งเดิมหลายร้อยแห่งที่ถูกทิ้งร้าง อาคารเหล่านี้ไม่ใช่หนี้สิน แต่เป็นสินทรัพย์ที่ถูกประเมินค่าต่ำกว่าความเป็นจริงซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับยุคดิจิทัล เพราะมีองค์ประกอบหลัก 3 ประการที่จำเป็นสำหรับการดำเนินงานเกี่ยวกับบิตคอยน์ที่แข็งแกร่ง: - ความปลอดภัยสูง: มีห้องนิรภัยและโครงสร้างอาคารที่แข็งแรงทนทาน - ระบบไฟฟ้ากำลังสูง: มีโครงสร้างพื้นฐานทางไฟฟ้าที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานที่ต้องการกำลังไฟสูง - ทำเลยุทธศาสตร์: ตั้งอยู่ในศูนย์กลางชุมชนที่ผู้คนเข้าถึงได้ง่าย โมเดลธุรกิจแบบผสมผสานของเรา: ส่วนที่ 1: ห้องเครื่อง (The Engine Room) - ศูนย์ปฏิบัติการเหมืองขุดบิตคอยน์ - วัตถุประสงค์: จัดตั้งเหมืองขุดที่มีประสิทธิภาพและสามารถทำกำไรได้ โดยดำเนินงานอยู่เบื้องหลัง - แนวทางการดำเนินงาน: ใช้ประโยชน์จากระบบไฟฟ้าแรงสูงที่มีอยู่เดิมเพื่อการติดตั้งที่มีประสิทธิภาพ เราจะดำเนินการเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement - PPA) กับหน่วยงานด้านพลังงานในประเทศ (กฟผ./กฟภ.) เพื่อให้ได้อัตราค่าไฟฟ้าสำหรับภาคอุตสาหกรรม โดยในเบื้องต้นจะมุ่งเน้นไปที่การใช้พลังงานส่วนเกินเพื่อลดต้นทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนที่ 2: ส่วนหน้า (The Front-House) - ศูนย์บริการทางการเงินและสถาบันให้ความรู้บิตคอยน์ - วัตถุประสงค์: เร่งผลักดันการยอมรับบิตคอยน์ผ่านการให้ความรู้และบริการที่เข้าถึงง่าย - บริการของเรา: - การศึกษา: จัดอบรมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อการเก็บรักษาสินทรัพย์ด้วยตนเอง (Self-custody), Lightning Network และความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับบิตคอยน์ - การเริ่มต้นใช้งาน: ให้ความช่วยเหลือและคำแนะนำแบบใกล้ชิดสำหรับบุคคลทั่วไปและธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อนำบิตคอยน์ไปปรับใช้ - บริการด้านความมั่งคั่ง: ให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์บิตคอยน์สำหรับผู้มีสินทรัพย์สูง (High-Net-Worth Individuals) - ศูนย์กลางชุมชน: เป็นพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมพบปะ, เป็นที่ทำงานของนักพัฒนา และเป็นแหล่งรวมของนักนวัตกรรม ส่วนที่ 3: ระบบกริด (The Grid) - นวัตกรรมพลังงานเพื่อความยั่งยืน - วัตถุประสงค์: เปลี่ยนการใช้พลังงานของเราให้กลายเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยสร้างเสถียรภาพให้แก่ระบบไฟฟ้า - แนวทางการดำเนินงาน: นอกเหนือจากการได้อัตราค่าไฟพิเศษ เราตั้งเป้าที่จะร่วมมือกับผู้ผลิตพลังงานเพื่อพัฒนาระบบสมาร์ทกริด (Smart Grid) ในระดับท้องถิ่น โดยศูนย์ขุดของเราสามารถปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานได้ตามเวลาจริง เพื่อดูดซับพลังงานส่วนเกิน และลดภาระในช่วงเวลาที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มเสถียรภาพให้แก่ระบบไฟฟ้าและสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกทางหนึ่ง ทำไมต้องประเทศไทย? ทำไมต้องตอนนี้? ประเทศไทยมีชุมชนคริปโตที่แข็งแกร่ง มีที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีภาครัฐที่กำลังศึกษาแนวทางเศรษฐกิจดิจิทัล การจัดตั้ง ₿ank แห่งแรกที่นี่ จะเป็นการสร้างต้นแบบที่พิสูจน์แนวคิด (Proof-of-Concept) ที่ทรงพลังในตลาดที่มีการเติบโตสูง และพร้อมที่จะขยายไปทั่วทั้งภูมิภาคและทั่วโลก สิ่งที่เรามองหา (Call to Action): เรากำลังมองหาพันธมิตรและนักลงทุนที่มีวิสัยทัศน์เดียวกับเรา นี่ไม่ใช่แค่โอกาสในการลงทุนในเหมืองขุด แต่คือการร่วมสร้างโครงสร้างพื้นฐานในโลกจริงที่จะนำผู้ใช้งานบิตคอยน์อีกนับพันล้านคนเข้ามาในระบบ on-chain : bc1qq3xl2gmsqutchfqtzc3np3mhq5dnmxlh32sz57 https://geyser.fund/project/bitcointree/posts/view/4734 #siamstr #bitcoin #bank #vc

#siamstr #bitcoin #bank #vc
satuser
satuser 7d

บริษัทสกุลเงินดิจิทัลแห่งหนึ่งกำลังวางแผนที่จะติดตั้งโรงไฟฟ้าขนาดเล็กในหมู่บ้านชนบทในแอฟริกา เพื่อนำไฟฟ้าเข้าไปในพื้นที่ห่างไกลและขุดบิทคอยน์ บริษัทได้พิสูจน์แล้วว่าโมเดลที่คล้ายกันนี้สามารถทำได้จริง หลังจากได้ติดตั้งเหมืองขุดบิทคอยน์ในโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 6 แห่งใน 3 ประเทศ โครงการนี้แสดงให้เห็นถึงผลประโยชน์ที่เป็นไปได้ของระบบที่ใช้พลังงานสูงและเป็นที่ถกเถียงกันซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนบิทคอยน์ โจ ไทดี ผู้สื่อข่าวบีบีซี ได้เดินทางไปยังเหมืองขุดแห่งหนึ่งที่ห่างไกลบนแม่น้ำแซมบีซี เพื่อไปดูโครงการหนึ่งที่กำลังดำเนินการอยู่ #zambiabitcoin #cryptocurrency #africacryptocurrency #siamstr https://youtu.be/da5umfBqkTM?si=rIj1BUV-v-PPy-c_

#zambiabitcoin #cryptocurrency #africacryptocurrency #siamstr
satuser
satuser 8d

Money Electric : The Bitcoin Mystery on Max เป็นสารคดี Bitcoin และ การตามหา ซาโตชิ ที่ทำให้เห็น vibe ของ bitcoin og รุ่นเก๋าอย่าง peter todd และ adam back (ชอบ vibe พ่อลูก 555) , samson mow และคนอื่นๆที่น่าทึ่งดี ทุกๆคนมีเรื่องราวของตัวเองหมดเลย เคยอ่าน block size war มาก็รู้สึกว่าเดือดประมาณหนึ่ง แต่พอมาดู film media จริงๆแล้วมันทำให้ vibe มันจริงขึ้นไปอีก step จากการสัมภาษณ์จุดยืนของแต่ละฝั่ง และ vision ของ bitcoiner ที่อยู่ใน level ปฏิบัติการระดับ global จริงๆนั้นมันเป็นอย่างไร (มันคือการเปลี่ยนแปลงระดับ geopolitic จริงๆ) , เหมือนกับว่าสารคดีเรื่องนี้เองก็อยู่ในแผนของซาโตชิที่ได้คิดเอาไว้แล้วเหมือนกัน character background ของ peter เองก็สามารถทำให้คนดูเชื่อได้ว่าเขาคือซาโตชิจริงๆนั่นแหละ , ช่วงท้ายๆนี่นึกว่าดู sherlock holmes ตามล่าซาโตชิในโรงงานร้าง เป็นสารคดีที่น่าจัดฉายมากๆหนึ่งเรื่องเลยสำหรับชาว bitcoiner https://play.max.com/movie/90e45730-bcb5-4525-aaea-44425a77c531 #siamstr #filmstr #MoneyElectric #hbo #max

#siamstr #filmstr #moneyelectric #hbo #max
satuser
satuser 10d

คิดว่าเป็นไปได้กันไหม ในการส่งข้อมูลจากอนาคต มาสู่อดีต ผ่านการสื่อสารทางควอนตัม ❓ #siamstr #quantuminformation #entanglement

#siamstr #quantuminformation #entanglement
satuser
satuser 10d

🔧 แนวทางหลักที่กำลังหารือกัน: 1. Freeze P2PK UTXOs ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ “freeze P2PK UTXOs” และเปลี่ยนไปใช้ quantum-resistant cryptographic solutions อาจกำหนด “sunset date” หลังจากนั้น address format เก่าจะไม่ทำงาน เพื่อป้องกันการโจมตี quantum 2. Soft Fork สำหรับ Quantum Resistance มีการเสนอ P2QRH BIP (Pay-to-Quantum-Resistant-Hash) เพื่อเพิ่ม quantum resistance ให้ Bitcoin #BIP360 “Pay to Quantum Resistant Hash” ได้รับการพัฒนาเพื่อแก้ปัญหา Taproot และ Satoshi’s coins ที่ไม่ใช่ quantum resistant 📊 ตัวเลือกการจัดการ: Option A: Freeze & Burn ``` P2PK coins → ไม่สามารถใช้ได้ → "เผาทิ้ง" ข้อดี: ปลอดภัย 100% ข้อเสีย: ทำลาย ~1M Bitcoin ของ Satoshi ``` Option B: Grace Period Migration ``` ประกาศล่วงหน้า → ให้เวลาย้าย → หลังจากนั้น freeze ข้อดี: #ให้โอกาสSatoshiย้าย ข้อเสีย: Risk ถ้า quantum มาเร็วกว่าคาด ``` Option C: Quantum-Resistant Soft Fork ``` สร้าง address type ใหม่ → ใช้ post-quantum crypto ข้อดี: รองรับอนาคต ข้อเสีย: signature ใหญ่ขึ้น, ซับซ้อนขึ้น ``` 🗳️ กระบวนการตัดสินใจ: Bitcoin Improvement Process: 1. BIP Proposal - เสนอการเปลี่ยนแปลง 1. Community Discussion - อภิปรายในชุมชน 1. Implementation - เขียน code 1. Soft Fork Activation - ใช้กลไก BIP 8/9 Timeline ที่คาดว่า: - 2025-2030: พัฒนา quantum-resistant solution - 2030-2035: เริ่ม soft fork activation - 2035+* ระบบป้องกัน quantum พร้อมใช้ 🤔 ความท้าทาย: Technical: - Quantum-resistant signatures ใหญ่กว่า ECC มาก - ต้องรักษา backward compatibility - Performance impact จาก signature ขนาดใหญ่ Social/Political: การ freeze Satoshi’s coins ส่งผลต่อ “decentralization” ของ blockchain - Philosophy: Bitcoin ควรจะ immutable หรือไม่? - Precedent: การแก้ไขครั้งนี้อาจสร้างแบบอย่างที่ไม่ดี 💭 ความเป็นไปได้: น่าจะเป็น combination approach ครับ: 1. เตรียม quantum-resistant soft fork 1. ให้ grace period สำหรับการย้าย 1. Freeze P2PK เมื่อ quantum threat ใกล้เข้ามา Bitcoin จะอยู่รอด แต่อาจต้องเสียสละ Satoshi’s 1M BTC เพื่อความปลอดภัยของทั้งระบบ 🛡️ #siamstr #claudestr #PQC

#bip360 #ให้โอกาสsatoshiย้าย #siamstr #claudestr #pqc

Welcome to satuser spacestr profile!

About Me

satoshi is in the word 🌳

Interests

  • No interests listed.

Videos

Music

My store is coming soon!

Friends