spacestr

🔔 This profile hasn't been claimed yet. If this is your Nostr profile, you can claim it.

Edit
sats_and_sound
Member since: 2024-12-15
sats_and_sound
sats_and_sound 2d

เงินในธนาคารถูกอายัดได้แต่ BITCOIN ที่คุณถอนมาเก็บเองไม่มีใครอายัดได้นะ - Sats And Sound Ep.55 https://youtu.be/9f-EykxFK5A คอนเท้นนี้ได้แรงบันดาลใจจากโพสของอาจารย์พิริยะเมื่อวาน เป็นคำสั้นๆที่น่าจะเหมาะสมกับสถานการณ์ตอนนี้ได้ดีมาก สปอยนิดหนึ่ง คลิปนี้พูดถึงบิทคอยน้อยมาก แต่จะมาเล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำๆ จากระบบการเงินที่ "ใช้ตัวกลาง" ผ่าน "ความเชื่อใจ" ของประชาชนให้ฟัง ก่อนหน้านี้ ช่วงต้นเดือนกันยายน 2025 มีเคส เงินในบัญชีติดลบ ถอนไม่ได้ ใครโดนโคตรซวยเลยนะ เพราะช่วงต้นเดือน อาจจะต้องใช้เงินจ่ายค่าเช่า นํ้าไฟ ค่าอื่นๆที่จําเป็น แล้วพอมากลางเดือน ธนาคารก็ยังท็อปฟอร์มอีก มีหลายคน ถูกอายัดบัญชี เนื่องจากมีข้อมูลว่าเกี่ยวข้องกับ "บัญชีม้า" อันนี้พูดกันแฟร์ๆ ผมว่ามันมีเคสที่เป็นมิจฉาชีพที่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้าจริงๆ แต่ยังมีอีกหลายเคสที่ไม่ใช่ เช่น พ่อค้าออนไลน์ หรือ ร้านค้าที่มิจไปกินข้าวแล้วมันก็ใช้บัญชีนี้โอน ซึ่งมีข่าวว่าเริ่มมีหลายๆร้านไม่รับเงินโอนกันแล้ว สิ่งที่ธนาคารทํานั้นเป็นการแก้ปัญหาแบบตัดจบ ถ้ามองในมุมแบงค์ทำแบบนี้ง่ายสําหรับเขาที่สุด แบงค์อาจจะไม่ได้รู้จริงๆว่าใครเป็นมิจฉาชีพบ้าง แค่เกี่ยวข้องกันโดนหมด แต่ในมุมของลูกค้าทั่วไปที่ไม่ใช่มิจฉาชีพ เดือดร้อนมากนะ เพราะตอนนี้คนไทย โอนกันเป็นหลักแล้ว เหตุการณ์นี้ทําให้บางคนเริ่มแห่ไปถอนเงินจากธนาคาร เมื่อคนไปถอดเงินสดออกมาพร้อมกัน บรรลัยสิครับ ธนาคารไม่มีเงินสดเพียงพอกับทุกคน มีการแจ้งประชาชนว่า ให้นัดวันมาถอน เงินสดไม่พอ คุณรู้มั้ยว่า สาเหตุนี้เกิดจากระบบ Fractional Reserve Banking ที่ธนาคารไม่ได้เก็บเงินฝากทั้งหมดไว้เขาสํารองแค่บางส่วน เช่น เราฝากไป 100 บาท แบ้งเก็บไว้ 10 บาท ปล่อยกู้ต่อ 90 บาท เมื่อทําต่อเนื่องๆไปเรื่อย ทําให้เกิดเงินเฟ้อมหาศาล ผมมีคลิป ความจริงของ เงินเฟียตและระบบการเงินโลก ที่บอกความจริงในสิ่งที่แบงค์ทํา ใครยังไม่เข้าใจว่า Fractional Reserve Banking คืออะไรไปดูคลิปนนั้นได้เลย ในสถานการณ์ปกติ ธนาคารจะจัดการสมดุลของการฝาก การถอน ได้ แต่เมื่อเกิดเหตุความวุ่นวายแบบนี้ ธนาคารไม่มีทางรับมือได้เลย เพราะเงินสดที่เขาสำรองพร้อมให้ประชาชนถอนมันน้อยกว่าความเป็นจริงมาก ถ้าสถานการณ์มันบานปลายไปเหมือนกับ บางประเทศที่ระบบการเงินล้มเหลวไปแล้วอย่าง เวเนซุเอล่า เลบานอน เราจะได้เห็นเหตุการณ์ Bank Run อย่างแน่นอนครับ Bank Run พูดง่ายๆคือแบงค์เจ๊งอ่ะ ไม่มีเงินสดให้ประชาชนถอน Fractional Reserve Banking มันเฮีย มีคนรู้เรื่องนี้ดี ย้อนกลับไปหลังวิกฤตการเงินปี 2008 เคยมีกลุ่มคนที่ต้องการ ทํา Full Reserve Banking เหมือนในอดีตยุด Gold standard Full Reserve Banking ก็คือ ธนาคารที่จะมีหน้าที่ดูแลเงินฝากให้ประชาชนเท่านั้น ไม่เอาไปปล่อยกู้ แบงจะได้แค่ค่าธรรมเนียมจากการดูแลเงินฝากของลูกค้า Full Reserve Banking จะไม่มีโอกาสเกิด Bank Run เพราะเงินเรามันอยู่ครบตามเดิมตลอดเวลา แล้วก็เป็นไปตามคาด แผน Full Reserve Banking ล่มครับ เพราะมันมีคนที่อยู่ในโลก tradfi เดิม และได้ประโยชน์จากระบบ Fractional Reserve Banking คัดค้าน เท่าที่หาข้อมูลมาได้ ในโลกนี้มีแค่ที่ ภูฏาน ที่เดียวที่มี Full Reserve Banking Fractional Reserve Banking เป็นสวรรค์ของเศรษฐศาสตร์แบบ "เคนเชียน" ที่ทำให้เกิดการพิมพ์เงิน การกู้มหาศาล เงินเฟ้อ เพื่อทําให้เศรษฐกิจเติบโตและหมุนไปข้างหน้า เช็คได้จริงตามตัวเลข แต่อย่างที่เรารู้กันว่า ในบางประเทศที่ตัวเลข เศรษฐกิจเติบโตมากๆแต่ผู้คนก็ยังลำบาก ไม่มีความสุข ไม่ต่างจากการตกแต่งตัวเลขให้ดูดี แต่ปลอมเปลือกนั้นแหละ Full Reserve Banking จะไม่เกิดการพิมพ์เงิน และการปล่อยกู้จะทําได้ยากมากๆ แน่นอนพวกชนชั้นที่ได้ประโยชน์จากการพิมพ์เงิน ไม่มีทางยอมรับแน่นอน มาแชร์ประสบการณ์ตัวผมเอง เคยเจอสถานการณ์ถอนเงินออกไม่ได้เหมือนกันครับ ย้อนกลับไปเมื่อตอนโควิด เดือนมกราคม ปี 2020 ตัวผมเองได้ ซื้อกองทุนตราสารหนี้ เอาไว้ 1 กอง เขาลงทุนใน - เงินฝาก - ตราสารหนี้ภาครัฐ/สถาบันการเงิน - ตราสารหนี้ภาคเอกชนชั้นดีทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผมเอาไว้พักเงิน เพราะได้ดอกเบี้ยดีกว่า กองตราสารหนี้ทั่วไป (ตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องเงินเฟ้อเลย ) ผมก็พักเงินอยู่ในกองนี้ 2-3 ปีก่อนหน้านี้แล้วไม่มีปัญหาอะไร ผมมั่นใจมากๆว่า กองทุนตราสารหนี้พวกนี้ โคตรมั่นคง โอกาสเจ๊งน้อยมาก 0.0001% พอโควิดมา 0.0001% ดันเกิดขึ้นจริง ความชิบหายมาเยือนทั้งสุขภาพกาย ทั้งตลาดหุ้น ตราสารหนี้ คนเริ่ม panic เก็บเงินสดไว้กับตัว แล้วกองตราสารหนี้พักเงินแบบนี้น่าจะเป็นสิ่งแรกๆที่คนจะขายออก เพราะมันถูกดีไซน์มาให้ใช้ได้รวดเร็วเกือบแทนเงินสดได้เลย คนก็แห่ขายกองทุนที่ผมถือฉํ่า พอผ่านไป 2 เดือน มีนาคม 2020 มีอีเมลล์มาแจ้งจาก บลจ ว่า จะปิดกองทุนนี้ ผมแบบห๊ะ ชิบหาย ตังมีอยู่แสนกว่าบาท ถอนไม่ได้ทําไงดี ในอีเมลล์เขาจะแจ้งว่าจะทยอยคืนเป็นรอบๆ โดยบอกว่าจะทยอยแจ้งให้ทราบภายหลัง คําถามคือ ตอนนี้ลําบาก เงินที่คิดว่าจะไว้ใช้ตอนฉุกเฉินถอนไม่ได้อีก แล้วตอนนั้นผมตกงานอีก โคตรเฮียเลย สรุป กองทุน ใช้เวลา 8 เดือน ในการทยอยคืนเงินต้นจนครบ โอนมา 15 ครั้ง หลังจากนั้นผมบอกตัวเองว่า กองทุนตราสารหนี้ที่เราคิดว่ามันมั่นคงมากๆ ยังเจ๊ง ยังปิดกองได้ 0.0001% ดังนั้นเราต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ช่วงนั้นผมก็ศึกษาเหรียญคริปโต เล่นdefi ที่เจ๊งไปอีกหลักแสนที่เคยเล่าในช่องไปดูกันได้ ถึงชีวิตจะมีมรสุมมากมาย ชิบหายหลายเรื่อง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมขอบคุณตัวเองในวันนั้นก็คือ ผมเริ่มแตะๆ สนใจบิทคอยแล้ว แต่ตอนนั้นรู้แบบพื้นๆ ยังไม่ลงหลุมกระต่าย เมื่อย้อนคิด เหตุการณ์ครั้งนั้น ผมก็ตกผลึกได้ 2 อย่าง 1 เหตุการณ์ไม่คาดฝันมันเกิดขึ้นได้เสมอ อะไรก็ตามที่มีความเสี่ยงแม้แต่ 0.0001% เราก็ต้องระวัง 2 เราถูกสอนมาให้เชื่อใจธนาคาร เอาเงิน เอาความมั่งคั่งไปให้เขาดูแล โดยไม่ตั้งคําถามอะไรเลย นี่แหละคือระบบการเงินเฟียต เงินสร้างทาส อยากให้ทุกคนเข้าไปดูคลิป การโกงและโกหก คือธรรมชาติของมนุษย์ แค่ถือ BTC คุณก็ไม่ต้อง "เชื่อใจ" ใครอีก คลิปนี้จะเป็นการสรุปเลยว่า การเชื่อใจตัวกลางมันมีความเสี่ยงอะไร แล้วในโลกนี้มันมี บิทคอยที่เป็นสินทรัพย์ที่เราไม่ต้องเชื่อใจคนอื่นอยู่นะ เกริ่นมาโคตรยาว เพิ่งเข้าหัวข้อ เงินในธนาคารถูกอายัดได้ แต่ BITCOIN ที่คุณถอนมาเก็บเอง ไม่มีใครอายัดได้นะ รู้ยัง? สิ่งแรกทีผมคิดเลยก็คือ 1 ปัญหาถอนเงินไม่ได้ เกิดจากธนาคารที่ทําตัวเป็น "ตัวกลาง" ร่วมกับการเล่นแร่แปรธาตุอย่าง ระบบ Fractional Reserve Banking ที่เอาเงินไปปล่อยกู้ทํากําไรหมด ทําให้เมื่อเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย เงินสดไม่พอให้ทุกคนมาถอนพร้อมๆกัน 2 การอายัดเงินในธนาคารที่แก้ปัญหาเรื่องบัญชีม้า ก็เป็นสิ่งที่ทําให้เราเห็นว่า "ตัวกลาง" อย่างธนาคาร สามารถทําอะไรกับเงินที่เรา "เชื่อใจ" ไปฝากไว้กับเขา มีประชาชนเดือดร้อนเสียหาย เราก็ทําได้แค่รอ 3 ทุกระบบที่มี "มนุษย์" เข้าไปเกี่ยวข้อง เกิดการโกง เกิดความผิดพลาดได้เสมอ 4 ถ้าคุณถือบิทคอย มันจะเป็นสินทรัพย์ที่เป็นของคุณอย่างแท้จริง ไม่มีตัวกลางใดๆ ระบบโปร่งใส ตรวจสอบได้ ทํางานได้ตลอดเวลา ดังนั้นคุณจะเอาไปใช้ โอนให้ใคร หรือแม้แต่ทําหาย มันก็เป็นสิ่งที่คุณต้องรับผิดชอบเอง 5 ถึงแม้ว่าจะถือบิทคอยแล้ว ถ้าหากเรายังฝากไว้กับ exchange ซึ่งเป็นตัวกลางในการจัดการคอยดูแล บิทคอยของเรา มันก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ดี เช่น FTX ที่ชิบหายกันทั่วหน้า หรือ Zipmex ที่เอาเงินฝากไปปล่อยกู้แล้วบริหารสภาพคล่องไม่ดี ฝั่งบริษัทแม่มีปัญหา ลูกค้าถอนเงินไม่ได้ สุดท้ายเจ๊ง เหมือน เคสผมที่ไปลงในกองทุน ก็ทํานองนี้นะครับ เกิดจากการบริหารสภาพคล่องรวมกับโควิด สรุปกองเจ๊ง ยังดีที่ของผมได้เงินคืน แต่ตอนนี้ลูกค้า Zipmex เหมือนยังไม่ได้คืนทั้งหมดนะ ดังนั้นการเป็นเจ้าของบิทคอยอย่างแท้จริง เราต้องถอนบิทคอยมาเก็บด้วยตัวเองนะครับ ผมมีคลิปสอน โอนบิทคอยจาก exchange เข้า HW แบบจับมือทํา ไปดูกันได้ สรุป 1 โลกการเงินแบบเฟียต ระบบการเงินเก่าที่เราต้องอาศัย "ตัวกลาง" อย่างธนาคาร มีความเสี่ยงที่มองไม่เห็น หลายอย่าง เช่น ระบบ Fractional Reserve Banking ที่ทํากำไรให้แบงค์มหาศาล แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย คนก็จะถอนเงินไม่ได้แบบที่เคยเห็น 2 พวกเราทุกคนถูกทําให้เชื่อ และ ไว้ใจธนาคารในการจัดการเงิน ดูแลความมั่งคั่งโดยไม่ตั้งคําถามมาหลายสิบปี ธนาคารอาศัยช่องโหว่จากความเชื่อใจ ทําให้ระบบการเงินโลกเป็นไปตามที่คนมีอํานาจต้องการ เงินเฟียตที่เฟ้อขึ้นแบบอัตราเร่งทุกปี ประชาชนจนลงแบบอัตโนมัติ 3 ถามว่ามีคนเห็นความไม่ชอบมาพากลนี้มั้ย บอกเลยว่ามี แต่ด้วยอํานาจของฝั่งเงินเฟียต มันยิ่งใหญ่มาก ทําให้แนวคิดดีๆอย่าง Full Reserve Banking เกิดไม่ได้ 4 บิทคอยคือคําตอบครับ ถ้าตัวกลางทําให้เกิดปัญหา มนุษย์ที่ใช้ความเชื่อใจโกงคนอื่นทําให้เกิดปัญหา บิทคอยตัดปัจจัยพวกนี้ออกไป ทุกอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ตลอดเวลา ระบบรันมาแล้ว 16 ปี ผ่านการกระจายศูนย์ มีคนพยายามโจมตีตลอดเวลาแต่ด้วยคุณสมบัติความเป็น Antifragile ของบิทคอย ทําให้ทุกครั้งที่โดน บิทคอยจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ 5 การถือบิทคอยดีแล้ว แต่การเก็บไว้ใน exchange ก็ยังคงมีความเสี่ยงเหมือนกัน ดังนั้น ถ้าต้องการเป็นเจ้าของบิทคอยอย่างแท้จริง ต้องโอนมาเก็บด้วยตัวเองใน HW 6 ใครยังลังเลไม่ต้องเชื่อผมให้ลองศึกษาด้วยตนเองก่อน จะได้ไม่รู้งี้ทีหลัง #siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #ธนาคาร #ระบบการเงิน #อายัดบัญชี

#siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #ธนาคาร
sats_and_sound
sats_and_sound 4d

Bitcoin คือสินทรัพย์เปลี่ยนโลก ดีขนาดนี้ All In ไปเลยใครคิดแบบนี้ ใจเย็นก่อน - Sats And Sound Ep.54 https://youtu.be/SYGnHlc24rM ในตอนนี้สินทรัพย์อย่าง บิทคอย เป็นที่รู้จักและพูดถึงกันกว้างขวาง - มันจะเปลี่ยนโลกการเงินใบใหม่ให้มีความแฟร์ - มันคือเงินของประชาชนที่ไม่เสื่อมค่า - มันจะช่วยทําให้เราไปติดกับดักของโลกแห่งเงินเฟียตที่ทําร้ายทุกคนตลอดเวลา ใครที่ศึกษาบิทคอยมาตลอด รู้ถึงข้อดีของมันอยู่แล้ว ยิ่งในช่องของผมที่พูดถึงบิทคอยเป็นหลัก มันโคตรดีขนาดนี้ ก็ All In ไปเลย ใครกําลังอยู่ในสเต็ปนี้ ผมทําคอนเท้นนี้มาเบรคหลายๆคนไว้ก่อน โดยเฉพาะมือใหม่ ไม่ใช่ว่าผมไปเจอบัคที่น่ากลัวของบิทคอย หรือ ข้อมูลที่ทําให้บิทคอยไม่ใช่เงินที่ดีอีกต่อไป แต่อยากจะมาแนะนําให้ทุกคน ก่อนที่ออม จะ All In คุณต้องเข้าใจบิทคอยด้วยตัวเองก่อน " เราจะมีบิทคอย เท่าที่ความรู้เรามี " คําพูดนี้มันลึกซึ้งมากๆครับ อยากจะให้มือใหม่ทุกๆคนที่เพิ่งศึกษา ได้เข้าใจบิทคอยจริงๆก่อน ไม่ต้องรู้ทุกเรื่องแต่รู้เรื่องจําเป็นและถูกต้องก็พอ เช่น - บิทคอยแก้ปัญหาอะไร - เงินเฟ้อน่ากลัวขนาดไหน - การออมและเก็บบิทคอยอย่างปลอดภัย จากคลิป เริ่มออมบิทคอยเท่าไหร่ดี ผมก็จะบอกละเอียดมากเลยว่าต้องทําอะไรก่อนหลัง เช่น ดูการเงินส่วนบุคคล เป้าออมเท่าไหร่ ซึ่งสรุปในคลิปก็คือ อยากให้เริ่มออมจริงๆด้วยจำนวนเงินน้อยๆ อย่างสม่ำเสมอก่อน เมื่อเราเข้ามามีส่วนร่วมหรือ skin in the game ผมเชื่อว่ามันจะทําให้เราเริ่มศึกษา และเข้าใจบิทคอยมากขึ้น ความรู้ที่มีนี่แหละจะเป็นตัวบ่งบอกว่า - เราควรบิทคอยเท่าไหร่ ? - เราจะ All In ไปเลยมั้ย ? ในบิทคอยคอมมูนิตี้มันก็จะมีคนหลายๆแบบอยู่ร่วมกัน stereotype ของบิทคอยเนอร์ส่วนใหญ่เท่าที่ผมเห็นคือ เป็นคนประหยัด เป็นตัวของตัวเอง ถ้าพูดถึงการ All In ก็ต้องพูดถึง Bitcoin Maxi ซึ่งคือคนที่ All In และเชื่อมั่นในบิทคอยมากๆ ทุ่มหมดตัว ผมเชื่อว่าใครที่เป็น Bitcoin Maxi ต้องผ่านการศึกษา มี proof of work มามากมายจนมั่นใจ เราจะเห็นหลายๆคนที่เปิดตัวและไม่เปิดตัว อีกกลุ่มที่น่าจะเป็นคนส่วนใหญ่ก็คือ คนที่เป็นบิทคอยเนอร์ที่ถือสินทรัพย์อื่นๆอยู่ด้วย เช่น คริปโต หุ้น อสังหาฯ ในคอมมูก็จะมีการถกเถียงประเด็นต่างๆกัน ถึงแม้ทุกคนจะสนใจบิทคอย แต่ก็ไม่ได้จะมีความเห็นตรงกัน หรือ เข้าใจตรงกันทุกเรื่อง สิ่งนี้มันเป็นความจริงของสังคมของโลกเราเลยครับ ใครที่เข้ามาศึกษาบิทคอย น่าจะมีมายเซ็ตในการยืนด้วยลําแข้งตัวเอง ไม่พึ่งพาคนอื่น ดังนั้น การตัดสินใจที่จะถือบิทคอยเท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับความรู้ ความต้องการ และเงื่อนไขของแต่ละบุคคลเลยครับ ใครจะ All In ใครจะแบ่ง เรื่องของคุณเลย เพราะสินทรัพย์ในมือคุณคือความรับผิดชอบของคุณเอง ไม่ว่าจะรวยหรือเจ๊ง เป็นทางเลือกของคุณเอง สิ่งที่อยากจะบอกในคลิปนี้ก็คือ 1 ถ้าสนใจและศึกษาบิทคอยมาระยะหนึ่ง ให้เริ่มจากการออมในสัดส่วนที่เราไม่ลําบากก่อน พอเริ่มถือเราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของราคา เป็นการเช็คตัวเราไปด้วยว่าทนความผันผวนระยะสั้นได้แค่ไหน มีมือใหม่บางคนที่ยังคิดแบบระบบเงินเฟียต ที่บิทคอยลง5% ก็ขายแล้ว อันนี้ไม่ใช่นะครับ บิทคอยเป็นเกมระยะยาว 2 การที่เข้ามาถือ เราก็จะศึกษาและเรียนรู้ บิทคอยมากขึ้นโดยอัตโนมัติ พอทําไปถึงจุดหนึ่งจะเป็นจุดตัดสินใจว่า คุณเหมาะกับบิทคอยมั้ย หรือ เราจะทยอยเก็บ หรือ เราจะ All In ไปเลย ถ้าใครยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ผมแนะนําทําตามสเต็ปนี้ 1 วางแผนการเงินส่วนบุคคล 2 ศึกษาเรื่องเงินเฟ้อ 3 หลังจากนั้นก็ศึกษาว่าบิทคอยมาแก้ปัญหาอะไร พยายามดูว่าบิทคอยแก้ปัญหาให้เราได้มั้ย? 4 วางแผนการออมบิทคอยระยะยาว โดยแผนเราจะต้องทําได้อย่างสมํ่าเสมอ 5 ถ้าหากเรามั่นใจอาจจะเริ่มทยอยเปลี่ยนสินทรัพย์เดิมที่มีและแพ้เงินเฟ้อมาเป็นบิทคอย จะเห็นได้ว่า สเต็ปต่างๆที่ผมบอกมา ต้องอาศัยความรู้ เวลา และ การคิดมาอย่างดีแล้วนะครับ ผมเชื่อว่า ทุกคนที่ถือบิทคอย ต้องผ่านจุดนี้มาก่อนเหมือนกัน ถ้าคุณไม่เข้าใจบิทคอยจริงๆ คุณเข้ามาถือได้ แต่สักวันคุณก็จะขายบิทคอยออกไปอยู่ดี แล้วมายเซ็ต All In มาจากไหน? ส่วนตัวคิดว่ามันจะเกิดกับคนที่อยู่ในโลกเงินเฟียตเดิม มีความคิดแบบ high time preference เช่นคนที่ลงทุนใน Alt Coin ที่ต้องรีบซื้อ พอเห็นโอกาส ต้อง All In เพราะต้องการรวยเร็ว พลิกชีวิต ต้องวิ่งให้ทันเงินที่เสื่อมค่าอยู่ตลอดเวลา เหมือนที่ชอบออกข่าว มีคนลงทุน เหรียญคริปโตเล็กๆ ใช้เงินหลักหมื่น ได้กำไรทิพย์ 30ล้าน แต่ในความจริง ถอนออกไม่ได้ โดนล็อคกระเป๋า ถ้าไม่ใช่ dev หรือเจ้า คุณทํากําไรขนาดนั้นไม่ได้จริงนะ หรือล่าสุดที่ เหรียญ WLFI ที่วาฬโดนล็อคกระเป๋า เพราะเจ้าของกลัววาฬเทขายแล้วเหรียญราคาดิ่ง นี่คือข้อเสียของเงินเฟียต หรือ Alt Coin ที่มีคนคุมระบบ มีเจ้าของ เขาทําได้ทุกอย่าง ดังนั้นกลับมาที่บิทคอยต่างกันเลย บิทคอยที่ต้องออมระยะยาว ความคิดแบบ low time preference ไม่ว่าคุณจะเริ่มออมบิทคอย หรือ จะ All In ในวันนี้ มันไม่มีทางทําให้คุณรวย หรือ เปลี่ยนชีวิตได้ในช่วงเวลาสั้นๆเช่น 6-12 เดือน ผมแนะนําว่าต้องถือสัก 4 ปีครับ ผมเชื่อว่าในระยะนี้ ถ้าคุณได้ศึกษาบิทคอยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตัวคุณเอง มายเซ็ต วิธีชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ศึกษาบิทคอยเรื่องเดียว คุ้มค่ามาก นอกจากมันแก้การเงินแล้ว มันแก้ชีวิตเราได้ดีขึ้นได้ด้วย สรุป 1 คุณจะมีบิทคอยเท่ากับความรู้ที่มี และเวลาที่เหมาะสม จะ All In หรือ ค่อยๆออม มีเป้าเท่าไหร่ มันเป็นทางเลือกของตัวคุณเอง 2 สําหรับมือใหม่ แนะนําให้ เริ่มจากการออมด้วยเงินน้อยๆ ร่วมกับการ ศึกษาบิทคอยไปด้วย เมื่อเรามี skin in the game คุณจะเริ่มเรียนรู้ว่า บิทคอยเหมาะสมกับตัวเองมั้ย และ ตั้งเป้าหมายที่เหมาะสมกับตัวเองได้ 3 การถือสินทรัพย์ใดๆ หรือ เท่าไหร่ ล้วนเป็นทางเลือกของตัวคุณเอง ความเสียดาย ความรู้งี้ในอดีตแก้ไม่ได้ แต่เราทําปัจจุบันเพื่ออนาคตที่ดีกว่าได้ 4 การถือบิทคอย ถึงคุณจะ All In ในตอนนี้ มันก็ไม่ได้ทําให้คุณรวยขึ้นทันตาเห็น เพราะบิทคอยคือเกมระยะยาว ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเห็นผลลัพท์ 5 อะไรก็ตามที่เรารู้สึกว่ามันดีเกินไป ต้องระวังไว้เสมอ don't trust,verify 6 การที่คุณเริ่มสนใจถือบิทคอย ผมว่าคุณก็โชคดีกว่าคนอีกจํานวนมากที่ยังคงติดอยู่ในระบบเงินเฟียตที่ต้องวิ่งตามหาเงินที่เสื่อมไปเรื่อยๆตลอดเวลา #siamstr #btc #bitcoin #satsandsound #allin #การออม #การเงิน

#siamstr #btc #bitcoin #satsandsound #allin
sats_and_sound
sats_and_sound 7d

แนะนำ หนังสือ เล่มแรก สำหรับมือใหม่ ที่เริ่มสนใจ BITCOIN เงินเฟ้อคือคดีอาญา #เงินเฟ้อคือคดีอาญา เอามาแชร์ใน nostr อาจจะเหมือน สอนจระเข้ว่ายน้ำ แต่เผื่อใคร อยากป้ายยาส้มให้มือใหม่ ให้อ่านหนังสือเล่มแรก เอาคลิปนี้ให้เขาดูได้เลยครับ https://youtube.com/shorts/VTvPrU7NF-8?feature=share #siamstr #satsandsound #btc #bitcoin

#เงินเฟ้อคือคดีอาญา #siamstr #satsandsound #btc #bitcoin
sats_and_sound
sats_and_sound 8d

การโกงและโกหก คือธรรมชาติของมนุษย์ แค่ถือบิทคอยคุณก็ไม่ต้อง "เชื่อใจ" ใครอีก - Sats And Sound Ep.53 https://youtu.be/Lw9Lz6xnfKA จากประสบการณ์การใช้ชีวิต ทํางานของผมเอง ผมตกผลึกว่า คนเราล้วนเห็นแก่ตัว และสามารถโกหกเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง เอาตัวรอด และเอาเปรียบคนอื่นได้ตลอดเวลา ถ้ามีโอกาส เห็นช่องทางโกง ก็โกงกันได้หมด เพราะมันคือธรรมชาติของมนุษย์ในการเอาตัวรอด ยิ่งเป็นเรื่องเงินๆทองๆ ผลประโยชน์ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ไม่สนิทบิดหมด บอกเพื่อนกันแต่เก็บทุกเม็ด ยิ่งโต ยิ่งรู้ว่า สัญญาปากเปล่า ไม่มีหลักฐาน น่ากลัวมาก ดังนั้นเวลาเราต้องการทําธุรกรรมที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ต่างๆ เราจะให้ "บุคคลที่สาม" ที่น่าเชื่อถือมาเป็นตัวกลาง เพราะเรา "เชื่อใจ" ว่ามีโอกาสถูกโกงน้อยกว่าดีลกันแค่ 2 คน คีย์เวิร์ดที่น่าสนใจในคลิปนี้คือ พวกเราทุกคน อยู่ในระบบที่ต้อง "เชื่อใจตัวกลาง หรือ บุคคลที่สาม" ในระบบการเงินโลกที่มีมาอย่างยาวนาน เช่น ธุรกรรมทางการเงิน เราก็เชื่อใจ ธนาคาร ซื้อขาย อสังหาฯ เราก็เชื่อใจ เอเจ้น เจ้าหน้าที่กรมที่ดิน ซื้อขาย หุ้น สินทรัพย์อืนๆ เราก็เชื่อใจ โบรกเกอร์ จะเห็นได้ว่า การจัดการสินทรัพย์ต่างๆของเรา เราจะชินกับการเชื่อใจ ตัวกลางมาตลอด ที่จริงระบบนี้มันดีมากนะ ช่วยป้องกันการโกง รักษาผลประโยชน์ของสองฝ่ายได้ แต่โลกความจริงมันไม่ได้สีขาว ไม่ใสสะอาดขนาดนั้น เมื่อมี "คน" เข้ามาในระบบ การโกงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์นั่นเอง คนบางกลุ่ม หาช่องโหว่ในการเอาผลประโยชน์จากการเป็นตัวกลางได้อยู่ดี ประเด็นที่ผมเน้นยํ้าในวันนี้ คือหลอกลวงระดับโลกที่พวกเราชินชากันมานาน นั่นคือระบบการเงินโลกนั่นเอง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ธนาคารเปรียบเสมือน "ตัวกลาง" ในการทําธุรกรรมการเงิน ไม่ว่าจะในระดับบุคคล หรือ ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นแบงค์เอกชน หรือ FED "ความเชื่อใจ"ที่พวกเราให้ "อํานาจ" ธนาคารในการควบคุมระบบการเงินนี่แหละ ที่ทําให้ชีวิตเราจนและลําบากจากรุ่นสู่รุ่นไปเรื่อยๆ ต้นเหตุมี ข้อเดียวเลยคือ เงินเฟ้อ การเพิ่มเงินเข้ามาในระบบ ส่งผลให้เงินเฟียตในมือของคนทั้งโลกเสื่อมค่าลงไปเรื่อยๆ - FED พิมพ์เงิน อัดเข้ามาเข้ามาในระบบ ทํา QE พิมพ์เงินใช้หนี้เก่า พยุงเศรษฐกิจ - ธนาคารเอกชน Fractional Reserve Banking เอาเงินฝากไปปล่อยกู้ต่อ เกิดเงินปลอมๆทางบัญชีมากมาย ใครสนใจไปดูคลิป ความจริงของเงินเฟียต และ ระบบการเงินโลกที่กลุ่มนายทุน "ไม่อยากให้พวกเรารู้" ใน playlist sats ผมได้ ได้ขยี้ประเด็นนี้ไว้แล้ว การปล่อยให้ธนาคารพิมพ์เงินเป็นว่าเล่น มา 50 ปีแบบนี้ มันก็เกิดจากการเชื่อใจ คําพูดสวยหรูของนักการเมือง และความไม่รู้ถึงความเลวร้ายของเงินเฟ้อ นับตั้งแต่ปี 1971 เงินดอลล่าเสื่อมค่าไป 99 เปอร์เซนแล้ว จากคลิป 1 ล้าน Sats รวยกว่า 1 ล้านบาท จริงเหรอ? ผมได้เอา M2 หรือปริมาณเงินในระบบของประเทศไทย เทียบตั้งแต่ปี 2009-2025 ให้ดู สรุปได้ว่า เงินเฟ้อในระบบ 6.01% ทบต้น เฟ้อขึ้น 158% ในเวลาแค่ 16 ปี ใครสนใจเข้าไปดูคลิปนั้นได้ ถ้ายังไม่น่ากลัว ไม่เห็นภาพ จากข้อมูล ใน trading view ปริมาณ M2 หรือ money supply ในประเทศไทย มีการใส่ข้อมูลครั้งแรกในปี 1997 หน่วย ล้านล้านบาท มกราคม 1997 มีปริมาณเงินทั้งหมด 4.73T มกราคม 2009 มีปริมาณเงินทั้งหมด 8.60T เวลาผ่านไป 12 ปี ปริมาณเงินทั้งหมดได้เพิ่มขึ้น 3.87 T หรือคิดเป็นประมาณ 81.82% หน่วยล้านล้านบาทมันเยอะขนาดไหน เผื่อบางคนไม่เห็นภาพ 3,870,000,000,000 จากนั้นในปี 2009 - 2025 พวกเราได้ผ่านมาหลายวิกฤต เช่น Hamburger Crisis สงคราม ความไม่สงบทั่วโลก Covid19 (บิทคอยใช้งานจริง ปี 2009) ส่งผลให้รัฐบาลโลกต้องพิมพ์เงินออกมามากมายเพื่อผยุงและกระตุ้นเศรษฐกิจ พิมพ์เยอะกว่าเงินเก่าที่มีอยู่ในระบบ มกราคม 2009 มีปริมาณเงินทั้งหมด 8.60T มกราคม 2025 มีปริมาณเงินทั้งหมด 22.37T เวลาผ่านไป 16 ปี ปริมาณเงินได้เพิ่มขึ้น 13.77T หรือคิดเป็นประมาณ 160.12% ปี 1997 - ปี 2009 ปริมาณเงินเพิ่มขึ้น 3.87 T ป 2009 - ปี 2025 ปริมาณเงินเพิ่มขึ้น 13.77T ปริมาณเงินเพิ่มขึ้น 3.55 เท่าในเวลา 16 ปี เริ่มเห็นยังทําไมเงินเฟ้อ ขนาดนี้ น่ากลัวมาก ตัวเลขนี้มันบอกว่า 16 ปีที่ผ่านมา เรามีการพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นมาในระบบมากเป็นอัตราเร่ง พิมพ์มากกว่าเดิม 2-3 เท่าจากวิกฤตต่างๆมากมาย เหมือนที่บอกไปแล้ว ส่งผลทําให้เงินบาทในระบบมากขึ้นมหาศาล ผลที่ตามมาคือเงินเฟ้อ - ทําให้ทุกคนจนลงอย่างอัตโนมัติ เอาให้เห็นภาพชัด ปี 1997 คุณมีเงิน 1แสนบาท ปี 2025 คุณมีเงิน 5แสนบาท ผ่านไป 28 ปี รวยขึ้น มีเงินเพิ่ม 5 เท่า แน่ใจเหรอ??? ปี 1997 คุณมีเงิน 1แสนบาท แต่เงินในระบบมี 4.73T สัดส่วนของเงินคุณเมื่อเทียบกับระบบ ≈ 0.0000000211416488 ปี 2025 คุณมีเงิน 5แสนบาท แต่เงินในระบบมี 22.37T สัดส่วนของเงินคุณเมื่อเทียบกับระบบ ≈ 0.0000000223513634 ในความจริง ถ้าเทียบกับปริมาณเงินในระบบ ผ่านไป 28 ปี สินทรัพย์ของคุณเพิ่มแค่ 0.946 เท่า เท่านั้น ( ไม่ใช่ 5 เท่าอย่างที่คิดไว้ ) ถ้าเงินในระบบยิ่งมาก แล้วคุณหาเงินหรือเก็บเงินได้ไม่ทัน คุณจะยิ่งจนลงเรื่อยๆ - คนที่แย่ที่สุดคือคนไม่มีความรู้ทางการเงินที่ถูกต้อง/หาเงินไม่ทันเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ในโลก จะจนลงอย่างไม่รู้ตัว - เงินใหม่หายาก ข้าวของแพงขึ้น หาเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้สักที เงินเก่าที่เก็บก็เสื่อมค่าลงไปเรื่อยๆ นี่คือสิ่งที่ทั้งคนไทย และคนทั่วโลกส่วนใหญ่เผชิญอยู่ในตอนนี้ - ความเฮียคือ การพิมพ์เงินและเงินเฟ้อมันหยุดไม่ได้ และยังคงพิมพ์เงินในอัตราเร่งที่มากขึ้นเรื่อยๆ คนรุ่นหลังจะจนลง และใช้ชีวิตลําบากขึ้นเรื่อยๆ พวกเราปล่อยให้สิ่งเลวร้ายนี้เกิดขึ้นเพราะ ความเชื่อใจ และรู้ไม่เท่าทันคําโกหก หลอกลวง ของคนมีอํานาจนั่นเอง พอมาเจอบิทคอย โลกผมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ในเมื่อ มีคนเท่ากับโกง เท่ากับเชื่อใจไม่ได้ เราก็ไม่ต้องเชื่อใจใครเลย บิทคอยทําให้เราไม่ต้องเชื่อใจใครอีกต่อไป ในอดีตผมก็คือมนุษย์เงินเฟียต ที่ทํางาน ใช้ชีวิต ใช้จ่าย ลงทุนแบบไม่สมํ่าเสมอ ผ่านไป 10 ปี มีคําถามขึ้นมาในหัวว่า ทําไมเรายังรู้สึกไม่มั่นคง ทั้งๆที่เราก็พยายามทุกอย่าง แล้ว?? ผมเคยแชร์ประสบการณ์ ในคลิป รู้จัก บิทคอย และ เป็น Bitcoiner ได้ยังไง แชร์ ปสก เข้าไปดูกันได้ ซาโตชิ ผู้คิดค้นบิทคอย มีความเข้าใจสันดานดิบของมนุษย์มากๆนะ เขารู้ดีว่า ระบบที่ผ่านตัวกลาง ต้องอาศัยความเชื่อใจ และสามารถเกิดช่องโหว่ให้โกงกันได้ตลอด ดังนั้นบิทคอยก็เลยถูกออกแบบมาให้ ป้องกันการโกงตั้งแต่แรก บิทคอยเป็นการเงินแบบไร้ตัวกลาง กระจายศูนย์ มีหลายๆฝ่ายทํางานร่วมกันเช่น developer miner node user คอยตรวจสอบกันและกัน รักษาผลประโยชน์ของตัวเอง ทํางานร่วมกันโดยไม่ต้องเชื่อใจกัน ยิ่งมีกลุ่มคนมากขึ้น ก็จะยิ่งทําให้ระบบการตรวจสอบ ความเป็น Anti-Fragile ของบิทคอยทําให้ยิ่งถูกโจมตี ยิ่งสร้าง Network ที่แข็งแกร่งขึ้นอีก บิทคอยถูกสร้างมาให้ป้องกันการโกงตั้งแต่แรกเลย โดยใช้การตรวจสอบจากกลุ่มคนหลายๆกลุ่ม หลายๆหน้าที่ มันสุดยอดมากๆ เป็นระบบการเงินที่เหมาะสมกับโลกปัจจุบันมาก โกงยาก โปร่งใส ตรวจสอบ และใช้ได้จริง และตัวผมเองที่ไม่เชื่อใจใครง่ายๆอยู่แล้ว ชอบบิทคอยมากๆ ทุกอย่างมันลงล็อคเลย เราจัดการสินทรัพย์ที่มีด้วยตัวเราเองได้ ไม่ต้องพึ่งใคร ซึ่งสิ่งนี้มันกระตุ้นให้ผม ต้องศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับบิทคอยมากขึ้น ทำให้รู้ว่า บิทคอย ระบบการเงินไร้ศูนย์ที่ถูกออบแบบมาโดยเข้าใจมนุษย์อย่างแท้จริงซึ่งแก้ไขจากความผิดพลาดในอดีต และสามารถถูกพัฒนาได้เรื่อยๆ โดยอาศัย consensus ของทุกคนในระบบ - บิทคอยเป็นสินทรัพย์เดียวบนโลกที่มีจํากัดอย่างแท้จริง - ถูกทําให้เฟ้อไม่ได้ ต่างจากสินทรัพย์อื่นๆ - ที่สําคัญไม่มีใครเปลี่ยนกฏข้อนี้ได้ถ้าคนในระบบไม่ยินยอม สรุป 1 การโกงและโกหก คือ ธรรมชาติของมนุษย์ เพราะเราอยู่ในโลกเงินเฟียต ที่ต้องเอาตัวรอด High Time Preference 2 มองโลกแบบไม่สวย ระบบไหนมี "คน/ตัวกลาง" เข้าไปเกี่ยว ถ้ามีช่องโหว่ โกงได้ บางคนก็โกง ระบบไหนเอาเปรียบคนอื่นได้ เขาก็ทํา เช่น การเงินโลกที่อาศัยตัวกลาง สุดท้ายแบงค์ก็เป็นคนที่เพิ่มเงินเข้ามาในระบบจนเกิดเงินเฟ้อ 3 ในโลกการเงินเก่า การตัดสินใจครั้งใหญ่ ขึ้นอยู่กับคนมีอํานาจไม่กี่คน พวกเขาจะคิดถึงประโยชน์ของตัวเองก่อน ดังนั้น ไปถามหาความเชื่อใจกับคําพูดของคนเหล่านั้นไม่ได้ การโกหกว่าจะช่วยพยุงเศรษฐกิจ ช่วยแก้ไขความยากจนนั้นเป็นของปลอม 4 เราถูกสอนให้เชื่อใจ กับระบบการเงินโดยไม่ตั้งข้อสงสัยมานานกว่า 50 ปี ส่งผลให้ตอนนี้เวรกรรมทีได้รับคือ เงินเฟ้อมหาศาล ทุกคนจนลงอย่างอัตโนมัติ 5 บิทคอยคือทางรอด เพราะ มันคือเงินไร้ตัวกลาง ถูกออกแบบมาให้โกงไม่ได้ตั้งแต่แรก ขั้นตอนที่คนต้องเข้าไปเกี่ยวไม่สามรถเปลี่ยนแปลงกฏเหล็กของบิทคอยในการเป็นเงินที่ดี เงินที่ไม่เสื่อมค่าได้ 6 บิทคอย คือ ความอิสระ เป็นสินทรัพย์ที่เราไม่ต้องเชื่อใจใคร แต่นั่นก็คือความรับผิดชอบของเราเอง ถ้าเราทํา seed หลุด โอนผิด บิทคอยทั้งหมด สามารถหายไปได้ทันที อยากให้ตั้งคําถามเกี่ยวกับความเชื่อใจในระบบการเงินโลก ที่เกิดปัญหาการโกงในปัจจุบัน คุณยังอยากอยู่ในระบบนั้นมั้ย แล้วถ้ามีบิทคอยที่มาแก้ปัญหาเรื่องนี้ คุณคิดอย่างไร? คุณจะต้องโดนโกง โดนหลอก ให้ได้บทเรียนมาก่อน แล้วคุณจะเริ่มเข้าใจบิทคอยจริงๆ เหมือนกับผม #siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #การโกง #โกหก

#siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #การโกง
sats_and_sound
sats_and_sound 11d

สอนโอน Bitcoin จาก Exchange เข้า Hardware Wallet รู้หลักการ โอนได้หมด - Sats And Sound Ep.52 https://youtu.be/RUA84Qb7ZJs อ่านอย่างเดียวอาจจะงง แนะนำให้ดูคลิปประกอบครับ เพราะมีพาทที่สอนโอนจริงๆด้วย คลิปนี้จะมาสอนแบบจับมือทําแบบละเอียด ขั้นตอนการโอนบิทคอยออกจาก exchange เข้า Hardware Wallet เพื่อเก็บ บิทคอยด้วยตัวเอง self custody ทําให้บิทคอยที่เรามีนั้นเป็นของเราจริงๆ Not your key,Not your coins ดียังไงผมเคยบอกไปหมดแล้วในคลิปเก่า สรุปว่า มันเป็นสิ่งที่คนที่ต้องการถือบิทคอยระยะยาว ต้องทำ ถึงจะยังไม่มี HW ก็อยากให้ดูไว้เป็นไอเดียก่อนครับ ทําจริงง่ายและเร็วมาก แต่เราต้องเข้าใจ เพราะบิทคอยถ้าโอนผิด บิทคอยของคุณก็จะหายไปตลอดกาล ความสําคัญของคลิปนี้คือ หลักการโอนที่ถูกต้อง ถ้าคุณเข้าใจ ไม่ว่าจะโอนเข้า-ออก จาก กระเป๋าไหนไปไหน คุณก็จะทําได้ exchange เข้า HW หรือ สลับกัน หรือแม้แต่การโอนระหว่าง wallet คุณก็จะทำได้ไม่งงและคุณจะไม่มีทางโอนผิดอีกเลย สิ่งที่คุณต้องรู้จักมี 2 สิ่ง 1 Network ตัวนี้เปรียบเสมือน ธนาคาร 2 Address หรือ เลขกระเป๋าบิทคอย ตัวนี้จะเปรียบเสมือน เลขบัญชีธนาคาร สาเหตุหลักของการโอนแล้วเหรียญหาย ถ้าไม่ใส่ Network ก็ Address ผิดนั่นเอง ผมก็เลยให้ความสําคัญมากๆ ถ้าผิดเหรียญหายทันที 1 Network ตัวนี้เปรียบเสมือน ธนาคาร ในโลกของคริปโตการโอนเหรียญต่างๆเราจะต้องรู้ว่า มันสามารถรับเข้า-โอนออกผ่าน network อะไรได้บ้าง ในส่วนของบิทคอยมันง่าย เพราะจะมีแค่ 2 network เท่านั้นคือ - BTC (Bitcoin Network) - Lightning Network 1 BTC (Bitcoin Network) จะเป็นตัวหลักที่ผมใช้โอนให้ดูจริงในวันนี้ เป็นตัวที่ใช้โอนระหว่าง Address ของ exchange กับ HW ที่บอกค่า fee 3000 sats รอ 7-10 นาที ก็คือโอนผ่าน Bitcoin Network นั่นเอง 2 Lightning Network จะเป็นการโอนบิทคอยหรือ sats ในจํานวนน้อยๆ เพื่อไปใช้ประจําวัน เช่น โอนจาก exchange ไปเข้า 3rd party wallet เช่น wallet of satoshi ไปซื้อของกิน เป็นต้น โอนแล้วเข้าเลยเหมือน พร้อมเพย์ ค่าธรรมเนียมตํ่ากว่า แต่ในบาง exchange เช่นบิทคับ ที่ผมเอามาสาธิตในวันนี้ยังไม่ support network นี้นะครับ พวก binance โอนผ่าน lightning ได้นะ ข้อสังเกตุ 2 Network ที่ใช้โอนบิทคอย มีการใช้งานที่ต่างกัน - BTC (Bitcoin Network) ใช้กับการโอนบิทคอยจำนวนมาก (เช่น มูลค่า 5พัน-1หมื่นบาท ขึ้นไป) เพื่อเก็บใน HW หรือแยกกระเป๋า - Lightning Network ใช้จ่าย sats จำนวนน้อยๆ สแกนเข้าเลย แต่ต้องใช้ผ่าน wallet อื่นๆอีกทีเช่น wallet of satoshi มีคนอาจจะคิดว่า ใช้ Lightning Network ไปเลยสิ อยากบอกว่าใน third party wallet พวกนี้จะเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มอีก ดังนั้นทั้งสอง Network ใช้กันคนละจุดประสงค์ แยกการใช้ให้ถูกต้อง เพื่อไม่ต้องเสีย fee โดยไม่จําเป็น ที่บอกว่าบิทคอยง่าย เราไปดู network ของ ETH กัน ขอบคุณรูปจาก Binance TH ETH โอนได้ 5 network ขึ้นอยู่กับว่า เราใช้เหรียญอะไร เหรียญคู่เทรดเราคืออะไร และค่าธรรมเนียมเท่าไหร่ network ของ ETH เอง ERC20 อันนี้ดี แต่แพง BEP20 ของไบแนน Base Artitrum Optimism stable coin USDT มี 7 network การมี network เยอะๆเป็นทางเลือกดีนะ แต่บางทีเราก็สับสน ตอนโอนต้องมีสติ บิทคอย ถ้าจะโอนเก็บเข้า HW คุณจำแค่อันเดียว คือ BTC (Bitcoin Network) จบ แล้ว exchange เหมือนบิทคับ เขาจะล็อคไม่ให้เราเลือก Network อื่นได้ได้วย ก็ช่วยป้องกันอีกขั้นหนึ่ง สาเหตุหลักๆในการโอนเหรียญแล้วหายคือ การเลือก Network ผิด ( User Error ) 2 Address หรือ เลขกระเป๋าบิทคอย ตัวนี้จะเปรียบเสมือน เลขบัญชีธนาคาร รู้ network หรือ ธนาคารแล้ว คราวนี้ ต้องรู้เลขกระเป๋า หรือบัญชีธนาคารที่ต้องโอนเข้าไปด้วย - รับบิทคอย มีคนจะส่งบิทคอยมาให้เรา เขาจะต้องรู้ Address หรือ เลขกระเป๋า ของเรา - โอนบิทคอย คุณจะต้องรู้ Address หรือ เลขกระเป๋า ปลายทางที่ต้องส่งไป เช่น เลขกระเป๋า Hardware Wallet ของเราเอง ข้อสังเกตุ คริปโตมีเป็นแสนเป็นล้านเหรียญ แต่ละเหรียญจะมี Address แยกเป็นของตัวเอง คุณไม่สามารถเอา Address ของบิทคอยไปโอน ETH หรือเหรียญอื่นๆได้ บางเคสมันล็อคโอนไม่ได้ แต่บางเหรียญถึงใส่ผิดมันโอนไปนะ แล้วเหรียญจะหายไปตลอดกาล ยกตัวอย่างใน บิทคับ กดไปที่ wallet ตอนนี้ ผมมีบิทคอยอยู่ 0.00227008 BTC หรือ 227,008 satoshi ถ้ามีคนจะโอน บิทคอยเข้ามาให้ผมในกระเป๋าใน บิทคับ เราจะต้องรู้เลขกระเป๋าที่ใช้รับบิทคอยก่อน กดไปที่ปุ่มสีเขียวฝาก จะขึ้นมาอีก หน้าจอนึง ดูที่ข้างล่างจะมีชุดตัวเลขที่ขึ้นด้วย bc1 ยาวๆ ตัวนี้คือ Address กระเป๋าบิทคอยของเราในบิทคับ หรือ มันคือเลขบัญชีธนาคารนั่นเอง เราสามารถก็อปโค้ดยาวๆนี้ส่งให้เพื่อนได้ ถ้าเขาต้องการส่งบิทคอยให้คุณ ส่งมาที่เลขกระเป๋านี้ แต่การก็อปโค้ดยาวๆแบบนี้ มันมีข้อเสีย ผิดพลาดก็อปไม่หมด มีปัญหาได้ ส่งผิดเหรียญหายซวยอีก ชีวิตเราง่ายกว่านั้น เห็น QR code นี้มั้ย ส่งรูปนี้ไปเลย เพื่อนสามารถสแกน และส่งบิทคอยมาให้เราได้เลย สะดวกและป้องกันการ ก็อปโค้ดยาวๆแล้วเกิดการผิดพลาด ส่งไม่ได้ กลับกันถ้าเราต้องการโอน บิทคอย ออกจาก exchange บิทคับ ไปยัง HW เราก็กดไปที่ปุ่มสีแดง ถอน สังเกตุช่องแรก Address ผู้รับ เราสามารถ ก็อปปี้ Address HW ของเรามาวางเพื่อส่งบิทคอย หรือ กดที่ปุ่ม QR เพื่อสแกนก็ได้ หลักการนี้ใช้ได้กับทุก exchange นะครับ - เข้าไป wallet บิทคอย ที่เรามีอยู่ใน exchange นั้นๆ ฟังก์ชั่น ฝาก Deposit ใช้โอนเหรียญเข้ามา ฟังก์ชั่น ถอน Withdraw ใช้ถอนเหรียญออกจาก exchange - ใส่ Address ให้ถูก (แนะนำแสกน QR code ) - เลือก network ให้ถูก ( BTC หรือ Bitcoin network ส่วนใหญ่มันล็อคมาให้แล้ว) ขั้นตอนการโอนบิทคอยจาก บิทคับ เข้า Hardware wallet - มือถือ - คอมพิวเตอร์ - Hardware wallet (ผมใช้ Trezor 3) 1 ไปที่แอฟบิทคับ กดที่ wallet ด้านล่าง 2 ตอนนี้ผมมี บิทคอยอยู่ 0.00227008 BTC หรือ 227,008 satoshi 3 เสียบ HW เข้ากับคอมพิวเตอร์ แล้ว เชื่อมต่อกับ โปรแกรม Trezor Suite โปรแกรมหน้าตาประมาณนี้ Trezor ต้องขึ้นว่า connected แบบนี้ 4 เราต้องกาจะโอน บิทคอยมาไว้ใน HW ดังนั้นเราจะต้องรู้ Address บิทคอยใน HW ไปกดที่ปุ่ม receive สีเขียวที่ขวาบน จากนั้นกดปุ่มสีเขียว "Show Full Address" แล้วจะโชว์ QR code ที่เป็น Address ปลายทางที่เราจะโอนบิทคอยมาแล้ว ซึ่งถ้า Trezor ไม่เชื่อมต่อมันจะไม่มี ปุ่มเขียว "Receive" นี้ขึ้นมา ต้องแน่ใจว่า เชื่อมต่อ HW ก่อนนะ 5 ตัดไปที่โทรศัพท์ ที่หน้า wallet ใน แอฟ บิทคับ กดที่บิทคอย แล้วกดปุ่มแดง ถอน 6 มันจะขึ้นหน้า ให้กรอกข้อมูล Address เราจะก็อป Addressมาใส่ก็ได้ แต่ผมกลัวผิด และ มันมีวิธีง่ายกว่านั้น กดปุ่ม QR สแกนจาก โปรแกรมในคอมเลย ตรงบันทึก address ไม่ต้องติ๊กนะครับ เพราะรับแต่ละครั้งเราจะไม่ใช้ address ซ้ำ เพื่อความปลอดภัย 7 จากนั้นใส่จำนวนบิทคอยที่ต้องการโอน ใส่หมดเลย มีกำหนดถอนขั้นต่ำ 0.00006 BTC และมีค่าธรรมเนียม 0.00003 BTC สรุปได้รับ 0.00224007999 กดตรวจสอบข้อมูล แล้วหน้าต่างต่อไปก็เช็คข้อมูลอีกครั้ง แอดแดรดถูก เน็ตเวิร์คถูก จำนวนถูก กดยืนยัน สแกนหน้า แค่นี้เสร็จแล้ว ตอนนี้ถ้าใครไปเช็คในwallet ทำไมบิทคอยยังไม่ไป ดูที่ Available 0 BTC บิทคอยกับกำลังผ่านการคอนเฟิร์มเพื่อปิดบล็อคก่อนครับ ไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องทำอะไร 8 สักแป็บนึง พอไปเช็คใน Trezor Suite แจ้งมา ว่ากำลังจะรับบิทคอย แต่ที่จริงต้องรอคอนเฟริ์มประมาณ 10 นาที เท่านี้เราก็เก็บบิทคอยด้วยตัวเองได้แล้ว โอนเข้า HW อ่ะง่าย แต่โอนออกอ่ะยากกว่า สรุป 1 เข้าใจหลักการของการโอน เข้าใจ network และ address คุณก็จะไม่โอนผิดอีกต่อไป ใช้ได้ทุก exchange ใช้ได้ทุกเหรียญ 2 ยิ่ง Bitcoin network ที่ไม่ซับซ้อนเท่าพวก Altcoin รวมถีงการป้องกันการโอนผิดของ exchange ทําให้การโอนบิทคอยไปยัง HW ง่ายกว่าที่คิด 3 ถึงจะง่ายแต่เราก็ต้องมีสติทุกขั้นตอน เพราะอย่างที่บอกว่า การโอนผิดเหรียญหายทันที ไม่มีใครช่วยคุณได้ 4 not your key,not your coins ใครเริ่มมีบิทคอยมูลค่าเกิน 5พันบาท แนะนำให้เริ่มศึกษาการเก็บใน HW เลยครับ 5 ถ้าคุณถือบิทคอยด้วยตัวเองได้แล้ว คุณก็จะมีอิสระกับสินทรัพย์ในมือคุณอย่างแท้จริง #siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #hardwarewallet #trezor #ออมbtc

#siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #hardwarewallet
sats_and_sound
sats_and_sound 13d

เงินเฟ้อ และ บิทคอย 2 สิ่งที่ คนธรรมดา อยากพลิกชีวิต ต้องรู้ - Sats And Sound Ep.51 https://youtu.be/mQ1hhVXtALY ในสังคมเงินเฟียต High Time Preference มีแต่คนเก่ง คนรวย คนประสบความสําเร็จเต็มโลกโซเชียลไปหมด ผมเชื่อว่าทุกคนเคยอ่านข่าว หรือโพส การพลิกชีวิตด้วยการถูกหวยรางวัลที่ 1 การทําธุรกิจที่รวย พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ขายของได้วันละเป็นแสนเป็นล้าน ซื้อบ้านหลังใหญ่ ซื้อรถหรู ซื้อทองคําเก็บเดือนละ 5 ล้าน ลูกก็เข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติแพงๆ ความสำเร็จ ความรวย ใช้ชีวิตหรูหรา เต็มโลกออนไลน์ไปหมด ตัดกลับมาที่ตัวเราเองที่เป็นคนธรรมดา ที่นั่งไถฟีด เงินเดือน 2หมื่นบาท คุณภาพชีวิตที่มีความสุขบ้าง ทุกข์บ้างตามอัตภาพ ไหนจะภาระมากมายทั้งที่คาดเดาได้และคาดเดาไม่ได้ ความรู้สึกต่างกันราวฟ้ากับเหวเลย คิดไปเศร้าไป การโดนโซเชียลยัดเยียดความสําเร็จของคนอื่นมากๆ มันโคตรเป็นพิษต่อตัวเราเองเลยนะ เดี๋ยวนี้ algorithm ในไอจี เฟสบุ๊ค มันชอบเอาโพสของคนที่ไม่รู้จักมาขึ้นหน้าฟีคตลอด โพสอวดความสําเร็จแบบนี้ ถ้าใครที่มองเป็นแรงผลักก็โชคดีไป ส่วนตัวผมแรกๆก็เป็นแรงผลักแหละ แต่หลังๆทําไมเรารู้สึกเครียด กดดันตัวเอง ผมก็ไม่ใช่พ่อพระขนาดที่จะยินดีกับทุกคนสําเร็จของใครก็ไม่รู้ในโซเชียล ดูไปก็มีคําถามลึกๆในใจว่า "ทําไมเราตามไม่ทันคนอื่น ทําไมเรายังลําบากอยู่แบบนี้ เงินที่เขาใช้ได้สบายๆ ทั้งปีเรายังหาไม่ได้เลย" สิ่งแรกคือคุณต้องแยกคอนเท้นประเภท อวดแบบไร้ประโยชน์ ออกไปให้ได้ก่อน ดูแล้วเกิดแต่พลังงานลบ กดซ่อน กดบล็อคให้หมด ไม่ต้องไปดู เสียเวลาชีวิต ดูทําไมเครียดกว่าเดิมอีก ผมเคยทําคลิปเข้าไปดูกันได้ ตอนต้นคลิปผมได้พูดถึง สังคมปัจจุบันที่มีแต่ความ High Time Preference ความสําเร็จที่รวดเร็ว ฉาบฉวย พลิกชีวิตข้ามคืน ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันเกิดมาจาก เราอยู่ในโลกของเงินเฟียต ที่เสื่อมค่า เมื่อเงินรักษามูลค่าไม่ได้ ทําให้การเก็บเงิน การออมเงินระยะยาวเป็นเรื่องไร้สาระ ทําให้เกิด มายเซ็ตที่ทุกอย่างต้องเร็วทันใจ ต้องพลิกชีวิตในไม่กี่ปี ต้องทําธุรกิจรวยเร็ว ซึ่งคนเก่ง คนทําได้มันมีนะครับ ขอเรียกว่า คนเก่ง หรือ Top 1% แล้วกัน อยากให้คิดว่าคนพวกนี้มีอยู่จริง แต่จํานวนน้อยครับ สิ่งที่เขาโพสมันเป็นสิ่งที่คนทั่วไป ทําได้ยาก มันก็เลยเรียกยอด engagement ได้ครับ จากหัวข้อเลย ถ้าคุณไม่ใช่ Top1% คุณคือคนธรรมดา แล้วอยากพลิกชีวิตบ้าง คุณต้องเข้าใจเงินเฟ้อและบิทคอย 1 เงินเฟ้อ และระบบการเงินที่แท้จริงของโลกก่อน - คนทั่วไป คนธรรมดาแบบเรา ส่วนใหญ่จะไม่สามารถเก็บเงิน หรือออมเงินได้ทันกับการพิมพ์เงินแบบอัตราเร่ง ส่งผลให้ ถ้าเราออมเงินผิดที่ผ่านไป 10 ปีเราจะเริ่มจนลง ยกตัวอย่างเคส ออมเดือนละ 1 แสนบาท ผ่านไป 10 ปียังแพ้เงินเฟ้อ เรื่องเงินเฟ้อ ระบบการเงินโลกผมเล่าย่อยๆไว้หลายคลิป เข้าไปดูในเพลลิส Sats ได้เลยครับ - คนรวย Top 1% พวกนี้บางคนหาเงินได้มากพอ หรือเร็วกว่าอัตราการพิมพ์เงิน ดังนั้นถ้าหากเขาออม หรือลงทุนผิดทางไปบ้างเขาก็จะไม่เจ็บตัวมาก กลุ่มนี้เขามีทางเลือกมากกว่าพวกเรานั่นเอง 2 บิทคอย - คนทั่วไป ถ้าหากไม่รู้จักบิทคอย คุณจะเสียโอกาสมหาศาล บิทคอยคือเงินของประชาชนที่ทําให้เงินออมกลับมามีคุณค่า และไม่ทําให้คุณจนลงเรื่อยๆเหมือนเงินเฟียต การออกแบบระบบที่รัดกุมรวมถึงถูกทําให้มีอย่างจํากัดแน่นอนแค่ 21 ล้านเหรียญ ทําให้บิทคอยจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากการพิมพ์เงิน และเงินเฟ้อ ใครไม่มีบิทคอย เหมือนกับคุณวิ่งอยู่บนลู่ที่วิ่งสวนทาง การจะไปข้างหน้าใช้แรงมหาศาลแล้วสุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไป คุณจะเหนื่อยไปเอง - คนรวย Top 1% เหมือนที่ผมเคยพูดว่า คนกลุ่มนี้ไม่จําเป็นต้องออม หรือรู้จักบิทคอยก็ได้ เพราะเขามีเงินเฟียตมากพออยู่แล้ว แต่จากประสบการณ์ส่วนตัว ยิ่งคนมีเงินเยอะ เขาจะยิ่งออมหรือหาช่องทางลงทุนได้มากขึ้นไปอีก ทําให้ช่องว่างทางฐานะยิ่งห่างไปอีก เห็นมั้ยมันเป็น Game theory ที่พอมีคนเห็นว่าถือแล้วดี คนก็จะเข้ามาถือเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีเหตุผลที่คนธรรมดาแบบเราจะไม่เข้ามามีส่วนร่วมถือบิทคอยเพื่อจะพลิกชีวิตให้ดีขึ้นด้วย ผมก็เป็นคนธรรมดาคนนึงที่ยังต้องทํางานเพื่อเลี้ยงชีพ ที่อยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความสําเร็จที่โดนยัดเยียดมา ก็เลยอยากจะมาแชร์วิธีจัดการกับมัน รวมถึง วิธีที่จะทําให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นจากเงินเฟ้อที่กัดกินทุกคนด้วยบิทคอย สรุป 1 คนธรรมดาอย่างเราอย่างเพิ่งหมดหวัง แค่เดินในเส้นทางที่ถูกต้อง เราก็จะพลิกชีวิต ทําให้ทุกอย่างมันดีขึ้นได้ 2 เส้นทางที่ว่าคือการเข้าใจเงินเฟ้อและบิทคอย แล้วคุณจะรู้ว่าระบบการเงินโลกมันถูกออกแบบมาให้พวกเราแพ้ตั้งแต่แรก ไม่แปลกที่คนทั่วไปจะรู้สึกเหนื่อยและหาเงินตามเงินเฟ้อไม่เคยทัน ชีวิตแย่ในระยะยาว 3 คอนเท้นอวดไร้ประโยชน์ แชร์ความสําเร็จโดยที่เราไม่ได้อะไรจากมันเลย หยุดดู หยุดเสพ ชีวิตคุณจะดีขึ้น 4 เมื่อรู้จักบิทคอย คุณจะรอเป็น คุณจะรู้ว่าทุกอย่างมันไม่จําเป็นต้องได้มาในทันที ฝึกคิดแบบ Low Time Prefenece เอาไว้ อยากให้ลองถือบิทคอย ออมเฉยๆใน HW สัก 4 ปี คุณจะได้รู้ว่าที่จริงหลุมกระต่าย มันลึกกว่าที่คิด 5 ศึกษาแค่บิทคอยเรื่องเดียวคุ้มค่านะ นอกจากการเงินดีขึ้น มันทําให้ชีวิตคุณดีขึ้นในหลายๆมิตินะ ไม่ว่าจะเป็นความคิด การดําเนินชีวิต การกินอาหาร การรักตัวเองเงินเฟ้อ และ บิทคอย 2 สิ่งที่คนธรรมดา อยากพลิกชีวิต ต้องรู้ ในสังคมเงินเฟียต High Time Preference มีแต่คนเก่ง คนรวย คนประสบความสําเร็จเต็มโลกโซเชียลไปหมด ผมเชื่อว่าทุกคนเคยอ่านข่าว หรือโพส การพลิกชีวิตด้วยการถูกหวยรางวัลที่ 1 การทําธุรกิจที่รวย พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ขายของได้วันละเป็นแสนเป็นล้าน ซื้อบ้านหลังใหญ่ ซื้อรถหรู ซื้อทองคําเก็บเดือนละ 5 ล้าน ลูกก็เข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติแพงๆ ความสำเร็จ ความรวย ใช้ชีวิตหรูหรา เต็มโลกออนไลน์ไปหมด ตัดกลับมาที่ตัวเราเองที่เป็นคนธรรมดา ที่นั่งไถฟีด เงินเดือน 2หมื่นบาท คุณภาพชีวิตที่มีความสุขบ้าง ทุกข์บ้างตามอัตภาพ ไหนจะภาระมากมายทั้งที่คาดเดาได้และคาดเดาไม่ได้ ความรู้สึกต่างกันราวฟ้ากับเหวเลย คิดไปเศร้าไป การโดนโซเชียลยัดเยียดความสําเร็จของคนอื่นมากๆ มันโคตรเป็นพิษต่อตัวเราเองเลยนะ เดี๋ยวนี้ algorithm ในไอจี เฟสบุ๊ค มันชอบเอาโพสของคนที่ไม่รู้จักมาขึ้นหน้าฟีคตลอด โพสอวดความสําเร็จแบบนี้ ถ้าใครที่มองเป็นแรงผลักก็โชคดีไป ส่วนตัวผมแรกๆก็เป็นแรงผลักแหละ แต่หลังๆทําไมเรารู้สึกเครียด กดดันตัวเอง ผมก็ไม่ใช่พ่อพระขนาดที่จะยินดีกับทุกคนสําเร็จของใครก็ไม่รู้ในโซเชียล ดูไปก็มีคําถามลึกๆในใจว่า "ทําไมเราตามไม่ทันคนอื่น ทําไมเรายังลําบากอยู่แบบนี้ เงินที่เขาใช้ได้สบายๆ ทั้งปีเรายังหาไม่ได้เลย" สิ่งแรกคือคุณต้องแยกคอนเท้นประเภท อวดแบบไร้ประโยชน์ ออกไปให้ได้ก่อน ดูแล้วเกิดแต่พลังงานลบ กดซ่อน กดบล็อคให้หมด ไม่ต้องไปดู เสียเวลาชีวิต ดูทําไมเครียดกว่าเดิมอีก ผมเคยทําคลิปเข้าไปดูกันได้ ตอนต้นคลิปผมได้พูดถึง สังคมปัจจุบันที่มีแต่ความ High Time Preference ความสําเร็จที่รวดเร็ว ฉาบฉวย พลิกชีวิตข้ามคืน ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันเกิดมาจาก เราอยู่ในโลกของเงินเฟียต ที่เสื่อมค่า เมื่อเงินรักษามูลค่าไม่ได้ ทําให้การเก็บเงิน การออมเงินระยะยาวเป็นเรื่องไร้สาระ ทําให้เกิด มายเซ็ตที่ทุกอย่างต้องเร็วทันใจ ต้องพลิกชีวิตในไม่กี่ปี ต้องทําธุรกิจรวยเร็ว ซึ่งคนเก่ง คนทําได้มันมีนะครับ ขอเรียกว่า คนเก่ง หรือ Top 1% แล้วกัน อยากให้คิดว่าคนพวกนี้มีอยู่จริง แต่จํานวนน้อยครับ สิ่งที่เขาโพสมันเป็นสิ่งที่คนทั่วไป ทําได้ยาก มันก็เลยเรียกยอด engagement ได้ครับ จากหัวข้อเลย ถ้าคุณไม่ใช่ Top1% คุณคือคนธรรมดา แล้วอยากพลิกชีวิตบ้าง คุณต้องเข้าใจเงินเฟ้อและบิทคอย 1 เงินเฟ้อ และระบบการเงินที่แท้จริงของโลกก่อน - คนทั่วไป คนธรรมดาแบบเรา ส่วนใหญ่จะไม่สามารถเก็บเงิน หรือออมเงินได้ทันกับการพิมพ์เงินแบบอัตราเร่ง ส่งผลให้ ถ้าเราออมเงินผิดที่ผ่านไป 10 ปีเราจะเริ่มจนลง ยกตัวอย่างเคส ออมเดือนละ 1 แสนบาท ผ่านไป 10 ปียังแพ้เงินเฟ้อ เรื่องเงินเฟ้อ ระบบการเงินโลกผมเล่าย่อยๆไว้หลายคลิป เข้าไปดูในเพลลิส Sats ได้เลยครับ - คนรวย Top 1% พวกนี้บางคนหาเงินได้มากพอ หรือเร็วกว่าอัตราการพิมพ์เงิน ดังนั้นถ้าหากเขาออม หรือลงทุนผิดทางไปบ้างเขาก็จะไม่เจ็บตัวมาก กลุ่มนี้เขามีทางเลือกมากกว่าพวกเรานั่นเอง 2 บิทคอย - คนทั่วไป ถ้าหากไม่รู้จักบิทคอย คุณจะเสียโอกาสมหาศาล บิทคอยคือเงินของประชาชนที่ทําให้เงินออมกลับมามีคุณค่า และไม่ทําให้คุณจนลงเรื่อยๆเหมือนเงินเฟียต การออกแบบระบบที่รัดกุมรวมถึงถูกทําให้มีอย่างจํากัดแน่นอนแค่ 21 ล้านเหรียญ ทําให้บิทคอยจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากการพิมพ์เงิน และเงินเฟ้อ ใครไม่มีบิทคอย เหมือนกับคุณวิ่งอยู่บนลู่ที่วิ่งสวนทาง การจะไปข้างหน้าใช้แรงมหาศาลแล้วสุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไป คุณจะเหนื่อยไปเอง - คนรวย Top 1% เหมือนที่ผมเคยพูดว่า คนกลุ่มนี้ไม่จําเป็นต้องออม หรือรู้จักบิทคอยก็ได้ เพราะเขามีเงินเฟียตมากพออยู่แล้ว แต่จากประสบการณ์ส่วนตัว ยิ่งคนมีเงินเยอะ เขาจะยิ่งออมหรือหาช่องทางลงทุนได้มากขึ้นไปอีก ทําให้ช่องว่างทางฐานะยิ่งห่างไปอีก เห็นมั้ยมันเป็น Game theory ที่พอมีคนเห็นว่าถือแล้วดี คนก็จะเข้ามาถือเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีเหตุผลที่คนธรรมดาแบบเราจะไม่เข้ามามีส่วนร่วมถือบิทคอยเพื่อจะพลิกชีวิตให้ดีขึ้นด้วย ผมก็เป็นคนธรรมดาคนนึงที่ยังต้องทํางานเพื่อเลี้ยงชีพ ที่อยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความสําเร็จที่โดนยัดเยียดมา ก็เลยอยากจะมาแชร์วิธีจัดการกับมัน รวมถึง วิธีที่จะทําให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นจากเงินเฟ้อที่กัดกินทุกคนด้วยบิทคอย สรุป 1 คนธรรมดาอย่างเราอย่างเพิ่งหมดหวัง แค่เดินในเส้นทางที่ถูกต้อง เราก็จะพลิกชีวิต ทําให้ทุกอย่างมันดีขึ้นได้ 2 เส้นทางที่ว่าคือการเข้าใจเงินเฟ้อและบิทคอย แล้วคุณจะรู้ว่าระบบการเงินโลกมันถูกออกแบบมาให้พวกเราแพ้ตั้งแต่แรก ไม่แปลกที่คนทั่วไปจะรู้สึกเหนื่อยและหาเงินตามเงินเฟ้อไม่เคยทัน ชีวิตแย่ในระยะยาว 3 คอนเท้นอวดไร้ประโยชน์ แชร์ความสําเร็จโดยที่เราไม่ได้อะไรจากมันเลย หยุดดู หยุดเสพ ชีวิตคุณจะดีขึ้น 4 เมื่อรู้จักบิทคอย คุณจะรอเป็น คุณจะรู้ว่าทุกอย่างมันไม่จําเป็นต้องได้มาในทันที ฝึกคิดแบบ Low Time Prefenece เอาไว้ อยากให้ลองถือบิทคอย ออมเฉยๆใน HW สัก 4 ปี คุณจะได้รู้ว่าที่จริงหลุมกระต่าย มันลึกกว่าที่คิด 5 ศึกษาแค่บิทคอยเรื่องเดียวคุ้มค่านะ นอกจากการเงินดีขึ้น มันทําให้ชีวิตคุณดีขึ้นในหลายๆมิตินะ ไม่ว่าจะเป็นความคิด การดําเนินชีวิต การกินอาหาร การรักตัวเอง #siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #ออมbtc #ออมbitcoin #เงินเฟ้อ

#siamstr #satsandsound #btc #bitcoin #ออมbtc
sats_and_sound
sats_and_sound 15d

1 ล้าน Sats รวยกว่า 1 ล้านบาท จริงเหรอ? - Sats And Sound Ep.50 https://youtu.be/IIjJJXBIRyA คลิปนี้ไม่ได้เรียกทัวร์ แต่คิดว่าคงมีคนเห็นต่างแน่นอนครับ บ้าหรือเปล่า 1 ล้าน sats มูลค่าแค่ 3-4 หมื่นบาทไทย จะรวยกว่า 1ล้านบาทไทยได้ยังไง ใครคิดแบบนี้อยากให้ดูคลิปให้จบก่อนครับ ผมอยากให้ทุกคนเห็นภาพความจริงของเงินที่ดีเมื่อเทียบกับเงินที่เสื่อมค่า ย้อนกลับไปเมื่อ 10-15 ปีก่อน การวางแผนเกษียณมีสัก 5ล้านบาทก็เกษียณได้แล้ว แต่ตอนนี้ปี 2025 ลองไปถามคนที่วางแผนเกษียณได้เลยทุกคนอาจจะตอบคล้ายๆกันคือ มีแค่ 5 ล้านบาทคงไม่พอแล้ว สาเหตุเพราะเงินเฟียตในมือของเรามันเสื่อมค่า จากการพิมพ์เงินและเงินเฟ้อนั่นเอง ผมจะมาบอกว่าทําไม การมี 1 ล้าน Sats ถึงรวยกว่า 1 ล้านบาท เงินเฟ้อที่ประกาศประมาณ 2-3% ต่อปี ใครยังเชื่อตัวเลขนี้อยู่ อยากให้มาดูความจริงกันครับ เราไปดูปริมาณ M2 ซึ่งคือปริมาณเงินที่อยู่ระบบในไทยก็ได้ M2 คือ ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ จะครอบคลุมปริมาณเงินที่อยู่ในมือประชาชนและภาคธุรกิจทั้งหมด ง่ายๆคือใช้ดูเงินเฟ้อนั่นเอง แต่ละปีเงินเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ข้อมูลจาก treding view ปริมาณ M2 ของประเทศไทย กรกฏาคม 2025 M2 = 23.43T กรกฏาคม 2024 M2 = 22.68T กรกฏาคม 2020 M2 = 20.14T กรกฏาคม 2015 M2 = 14.57T กรกฏาคม 2009 M2 = 9.07T การคำนวณการเพิ่มขึ้นของ M2 จากปี 2024 ถึง 2025 (1 ปี) ปริมาณที่เพิ่มขึ้น: 23.43T - 22.68T = 0.75T (3.31%) อันนี้ดูไม่แย่นะ ไม่ถึง 4% แต่ยังไม่จบครับ จากปี 2020 ถึง 2025 (5 ปี) ปริมาณที่เพิ่มขึ้น: 23.43T - 20.14T = 3.29T (16.34%) จากปี 2015 ถึง 2025 (10 ปี) ปริมาณที่เพิ่มขึ้น: 23.43T - 14.57T = 8.86T (60.81%) จากปี 2009 ถึง 2025 (16 ปี) ปีแรกที่บิทคอยเกิดขึ้น หลังจาก Hamburger crisis 2008 ปริมาณที่เพิ่มขึ้น: 23.43T - 9.07T = 14.36T (158.32%) จากตัวเลข 16 ปีที่ผ่านปริมาณเงินในไทยเพิ่มขึ้น 158% นี่ไงครับใจความสําคัญของคลิปนี้ สาเหตุที่ว่ามีเงินเก็บเท่าไหร่ ก็ไม่เคยพอ ค่าใช้จ่ายมากขึ้นทุกอย่าง มีตัวอย่าง ข้าวกะเพราะ 10 ปีก่อนยังได้เห็น 30-40 บาทต่อจาน ตอนนี้ 60-100 บาทต่อจานไปแล้ว การถือเงินเฟียตที่อํานาจการจับจ่ายลดลงตลอดเวลา มันทําให้เราไม่สามารถหาเงินได้ทันอัตราเร่งของเงินเฟ้อ เพราะรัฐบาลพิมพ์เงินเข้ามาในระบบเพื่อพยุงเศรษฐกิจที่แก้ผิดจุดตลอดเวลา รวมถึงอเมริกาที่พิมพ์เงินและขยายเพดานหนี้ขึ้นไปเรื่อยๆ เงินเฟ้อมันแย่ แต่เราไม่มีทางหลีกหนีมันได้เลย มีคําพูดบอกว่า มี 2 สิ่งที่คนเราไม่มีทางหนีได้นั่นคือ ความตาย และ ภาษี ผมขอเพิ่มไปอีก 1 อย่างนั่นก็คือเงินเฟ้อ ครับ เก็บเงินเฟียตเดือนละแสนยังแพ้เงินเฟ้อในระยะยาวเลย น่ากลัวนะครับ ไหนๆจะขยี้มันยังไม่จบครับ ผมก็ได้ไปคํานวณต่อว่า 16 ปีที่ผ่านมานั้น 158.32% ถ้าคิด อัตราการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อปีของ M2 จากข้อมูลนี้คือประมาณ 6.01% มันจะตรงกับที่เราคาดการณ์กันเงินเฟ้อที่แท้จริง 6-8% ต่อปี เห็นยังครับ มันไม่ใช่ 2-3% ตามค่า CPI นะครับ จากคลิปอาจารย์พิริยะ ล่าสุดผมชอบมาก แกบอกว่า ถ้าใครอยากดูเงินเฟ้อคร่าวๆ ให้ไปดูอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของแบ้งค์ จากรูปขอบคุณข้อมูลจาก เวิร์คพ้อยทูเดย์นะครับ ดู MRR 6.5-8% นี่แหละคือคําตอบว่า แบงค์เขารู้ตัวเลขเงินเฟ้อที่แท้จริงนะ ถ้าเงินเฟ้อจริงมัน 2-3% ทําไมแบงค์ไม่สามารถลดอัตราเงินกู้ให้ถูกลงกว่านี้ได้ ถ้าใครดูมาถึงตรงนี้ น่าจะเริ่มเข้าใจและได้คําตอบแล้วครับว่า การถือ 1ล้าน sats หรือ 0.01 BTC นั้นรวยกว่า การมีเงิน 1 ล้านไทยบาทในระยะยาว ผมมีคลิป เป้าขั้นต่ำที่อยากให้ทุกคนมีบิทคอยไว้ 0.01 BTC เข้าไปดูกันได้นะครับ ถ้าถามว่าบิทคอยมันมาแก้อะไร มันก็มาแก้เงินเฟ้อไง ตรงตัวเลย แก้แค่เรื่องนี้ ชีวิตเราจะง่ายขึ้นเยอะเลย สมมติมี 1ล้าน sats มูลค่า 35,000 บาท ในวันนี้ ในอีก 10 ปีข้างหน้า คุณก็ยังมี 1ล้าน sats หรือ 0.01 BTC เท่าเดิม แต่การพิมพ์เงิน เงินเฟ้อ ตลอดเวลา จะทําให้มูลค่า 1 ล้าน sats เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเพราะบิทคอยไม่เฟ้อ มันถูกโปรแกรมมาให้ไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้อีก ตัดไปที่คุณถือเงินเฟียต 1 ล้านบาท เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี ด้วยอัตรเงินเฟ้อ 6-7% อํานาจการจับจ่าย ของคุณจะเหลือเพียง 5แสนบาทเท่านั้น และมันจะลดลงไปเรื่อยๆ เพราะเงินเฟียตถูกพิมพ์ออกมาได้เรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด เท่ากับว่า ใครยิ่งถือบิทคอยช้า เราจะยิ่งโดนเงินเฟ้อกัดกินอํานาจการใช้จ่ายไปเรื่อยๆ ถ้าใครยังคิดว่า บิทคอยแพงขนาดนี้มันจะโตไปได้อีกเท่าไหร่ ผมมีรูปนี้มาอธิบายให้ฟัง นี่คือรูปของ total global assets value สินทรัพย์แต่ละอย่างมีมูลค่าเท่าไหร่บ้าง ข้อมูลจาก onceinaspecies.com - อสังหาฯ กับ พันธบัตร มีอยู่ประมาณ 300T - เงินและหุ้น 130T - ทองคํา 22T - บิทคอยมีแค่ 2T เท่านั้น ตอนนี้น่าจะ 2.4T ซึ่งเราจะเห็นว่า ยังมีช่องการเติบโตอีกมากเลย มีคนกาวว่าในอีก 5-10 ปีข้างหน้า มูลค่าของบิทคอยจะแซงทองคําได้ คิดเร็วๆ ตอนนี้ราคา 3.5 ล้าน มูลค่าเพิ่มขึ้น 10 เท่า ล้านsats หลักหมื่นในวันนี้ จะกลายเป็นหลักแสนในวันนั้น อาจจะมีคําถามว่า ตอนนี้การเงินพังแล้ว อยากถือบิทคอยต้องทํายังไง 1 ทํารายรับรายจ่ายและเช็คสุขภาพการเงินของคุณก่อน ข้อนี้จะทําให้เรารู้ว่า เรามีเงินเท่าไหร่ มีรายได้ รายจ่ายเท่าไหร่ ทําให้เราวางแผนการออมบิทคอยได้ในระยะยาว ต้องออมบิทคอยอย่างสมํ่าเสมอทุกเดือน ทุกอย่างจะไม่มีประโยชน์ถ้าคุณออมได้เยอะๆมากแค่ 2-3 เดือนแรกแล้วเลิก ถ้ายิ่งใครมีสินทรัพย์ที่โตแย่กว่า เงินเฟ้อ หรือเงินเก็บที่ยังไม่ได้จัดสรร รีบเปลี่ยนเป็นบิทคอยได้เลย ถ้าปัญหาคือการหาเงินได้ไม่เยอะ - ดูสินทรัพย์ที่มีก่อน เผื่อมีบางอย่างที่ยังไม่ได้จัดสรร หรือ อยู่ในสินทรัพย์ที่โตช้ากว่าเงินเฟ้อก็เปลี่ยนมาเป็นบิทคอย - หาเงินให้มากขึ้น เพื่อออมบิทคอยมากขึ้น - กําหนดแผนและเป้าหมายที่ทําได้จริงอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน - ศึกษาเรื่องการเก็บบิทคอยใน HW อย่างปลอดภัย 2 ในระหว่างจัดการการเงินตัวเอง ต้องศึกษาบิทคอยไปด้วย ว่ากันว่า เราจะมีบิทคอยเท่ากับความรู้ที่มี เรื่องนี้เป็นเรื่องปัจเจคบุคคล เอาเป็นว่าศึกษาเยอะๆครับ แล้วคุณจะรู้จุดของตัวเองว่าเราโอเค หรือ ต้องการออม หรือ ต้องการมีบิทคอยแค่ไหน ผมเคยทำคลิปเกี่ยวกับบิทคอยเพื่อเกษียณลองไปดูกันได้ 3 ทั้งสองข้อที่ผมบอกไปด้านบน ต้องทําเลยนะครับ ถ้าผลัดวันประกันพรุ่งอยู่ คนก็จะไม่ได้เริ่มสักที ใครยังไม่มีไอเดียลองดูคลิป ออมด้วยหลักการสิบเท่าของผม ดูได้ครับ บอกไอเดีย รวมถึงวิธีบันทึกการออมที่ทำง่ายๆ ทำได้ทุกคน สรุป 1 บิทคอยคือเงินที่ดี ถือไปมันไม่เสื่อมค่าลง กลับกันเฟียตคือเงินที่ไม่ดี มูลค่าจะลดลงตามการพิมพ์เงินและเงินเฟ้อ ดังนั้น ในระยะยาว 1 ล้าน sats ยังไงก็รวยกว่า มี 1 ล้านบาท 2 เงินเฟ้อมันเฮีย แต่เราก็หลีกหนีไม่พ้น ไม่อยากจนลงวิธีแก้คือ เปลี่ยนเงินเสื่อมค่าในมือให้กลายเป็นเงินไม่เสื่อมค่า 3 เงินเฟ้อที่ค่อยกัดกินเราไปเรื่อยๆ จะทําร้ายทุกคนที่รู้ไม่ทัน ดังนั้นถ้าคุณเข้ามาดูคลิปนี้ คุณรอดแล้วครับ 4 ทุกอย่างที่พูดเอามาจากข้อมูลจริงๆในอดีต ที่ถ้าเราเข้าใจความสําคัญของมัน จะทําให้เราเลือกทางเดินที่ถูกต้อง การออมเงินผิดที่เสียเวลามากครับ กว่าจะรู้อีกทีเราอาจจะเสียโอกาสมหาศาลแล้ว 5 มองทุกอย่างให้เป็นภาพกว้าง และ ระยะยาว มันจะทําให้คุณตัดสินใจง่ายขึ้น ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยกังวลกับราคาบิทคอยระยะสั้นครับ แค่ออมง่ายๆโง่ๆ อย่างสม่ำเสมอ และเก็บไว้อย่างปลอดภัยใน HW แค่นี้พอแล้ว 6 บิทคอยยิ่งถือช้ายิ่งซื้อแพง ใครสนใจอยากเริ่มออมระยะยาว ต้องศึกษาบิทคอยและเช็คสุขภาพการเงินของตัวเองก่อน แล้วเริ่มเลย ทุกอย่างที่พูดในคลิป ถ้าใครไม่เชื่อไม่เป็นไรครับ คุณลองทดสอบด้วยตัวเองได้ บิทคอยเป็นทางเลือกที่ใครจะถือหรือไม่ถือก็ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง #siamstr #bitcoin #btc #satsandsound #ออมbtc #stacksats

#siamstr #bitcoin #btc #satsandsound #ออมbtc
sats_and_sound
sats_and_sound 19d

ถือบิทคอยไว้เฉยๆ วิธีเรียบง่าย แต่ทําจริง โคตรยาก - Sats And Sound Ep.49 https://youtu.be/ysK3KNJA8oA ในกลุ่ม Bitcoin Thai Community มีสมาชิกท่านหนึ่ง ได้แชร์รูปพร้อม แคปชั่น "ถ่ายไว้เมื่อปี 2016 ใช้การ์ดจอขุดใน pool สมัยก่อน #รู้งี้ #bitcoin" วันนี้ผมจะรวบรวมความคิดเห็นของคนในคอมมูนิตี้ว่าคิดเห็นยังไงกับภาพนี้กันบ้าง และผมได้บทเรียนอะไรบ้าง อีกอย่างผมอยากให้คอนเท้นนี้เก็บความทรงจําของบิทคอยในช่วงที่คนยังไม่ค่อยรู้จักอย่างปี 2016 ด้วยครับ ในรูปเราก็จะเห็นเป็นหน้าเว็บไซต์ bx.in.th ซึ่งใช้ซื้อขายบิทคอย ในตอนนั้นยังไม่มี exchange ด้วยความที่บิทคอยเพิ่งเกิดไม่นาน และสนใจโดยคนกลุ่มที่เล็กกว่าในปัจจุบันมาก ทําให้ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ ขาย เก็บบิทคอย ยุ่งยากมากๆครับ อาจจะด้วยเทคโนโลยี ด้วยความเร็วอินเทอร์เน็ต ด้วยความรู้หลายๆอย่าง ต่างจากในตอนนี้ที่เราสามารถซื้อบิทคอยได้สะดวกมากทําเสร็จภายใน 1 นาที ผมเคยทําคลิปจับมือทํา มี 40 บาทก็ออมบิทคอยได้แล้ว ใครสนใจเข้าไปดูกันได้ กลับมาที่รูปนี้กันต่อ นอกจากประเด็นเว็บซื้อขายบิทคอยที่ปิดไปแล้ว อยากให้ดูราคาบิทคอยในตอนนั้นครับ ในปี 2016 ถ้าอิงเรทซื้อขายบิทคอยเว็บไซต์ bx.in.th เรทการซื้อบิทคอย 1 BTC = 23,664 THB เรทการขายบิทคอย 1 BTC = 22,668 THB หลายคนตกใจว่าทําไมเรทซื้อขายต่างกันเยอะ อยากบอกว่าเป็นเรื่องปกติครับ เขาไม่มีทางซื้อขายเท่ากันอยู่แล้ว ยกตัวอย่าง ถ้าคุณลองเอาเงิน ดอลล่าไปแลกแบงค์ดู เรทซื้อ เรทขายก็ไม่เท่ากันเหมือนกัน แล้วในรูป ถ้าหากคุณขาย 0.8 BTC จะได้รับเงิน 18,110 บาท แล้วตัดกลับมาที่ราคาบิทคอยในปัจจุบัน อยู่ที่ 3,597,865.67 บาทต่อ 1 BTC เท่ากับว่า 0.8 BTC ในวันนี้มีมูลค่าถึง 2,878,292.53 มูลค่าเพิ่มขึ้น 159 เท่า หลังจากเวลาผ่านไป 9 ปี จริงๆข้อมูลตรงนี้ ดูกราฟทุกคนรู้หมด แต่ภาพนี้มันมายํ้าความรู้สึกเสียดาย ความรู้สึกรู้งี้ ให้ชัดเจนขึ้นไปอีก เกริ่นมาพอสมควรคราวนี้ เราไปดูความคิดเห็นของคนในคอมมูกัน บ้างครับ ผมจะแบ่งประเภทคอมเม้นได้ 3 กลุ่มหลักๆก็คือ 1. กลุ่มผู้ที่มีประสบการณ์ตรง (Early Adopters) 2. กลุ่มผู้ที่รู้จักบิทคอยแต่ไม่ได้ซื้อขาย 3. กลุ่มที่แสดงความคิดเห็นทั่วไป 1. กลุ่มผู้ที่มีประสบการณ์ตรง (Early Adopters) คอมเมนต์ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มคนที่รู้จักและเข้ามาในวงการบิทคอยน์ตั้งแต่ช่วงแรกๆ โดยเฉพาะยุคที่ BX.in.th และ Coins.co.th ยังเป็นที่นิยมอย่างมาก คอมเมนต์ในกลุ่มนี้จะมีการกล่าวหัวข้อย่อยๆอีกเช่น 1.1 ประสบการณ์การซื้อขาย การซื้อบิทคอยน์ในราคาหลักร้อยหลักพันบาท (มีเม้นบอกว่า 100 บาท ได้ 30 เหรียญ) การซื้อขายผ่านเว็บ BX และ Coins.co.th พูดถึงลุงโฉลก เป็นต้น 1.2 การขุด (Mining) การใช้คอมพิวเตอร์ส่วนตัวขุดบิทคอยหรือเหรียญอื่นๆ เช่น NiceHash หรือ Minergate รวมถึงปัญหาเรื่องค่าไฟ มีคอมเม้นบอกว่าเหรียญที่ขุดหายไปเพราะ HDD คอมเก่าเสีย ทิ้งไปแล้ว ซึ่งมีมูลค่าเยอะเสียดายมาก 1.3 ความทรงจำและอารมณ์ ความคิดถึงบรรยากาศในแชทของ BX ที่สนุกสนาน และการพูดถึง "สมศักดิ์" ซึ่งเป็นตัวละครที่สร้างสีสันในห้องแชท มีคอมเม้นบอกว่า ปั่นกันทั้งวันทั้งคืน ไม่นอน สนุกมาก 1.4 ประสบการณ์การสูญเสีย ทําบิทคอย หรือ ขายหมู การสูญเสียเหรียญเนื่องจากเว็บปิดตัว, wallet เงินหาย ,ไฟล์ seedphrase.dat หายไปพร้อม HDD หรือ ล้างเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือการขายทิ้งในราคาที่ต่ำกว่าปัจจุบันมาก เช่น ขายหมดตอนราคาหลักแสนบาท 2. กลุ่มผู้ที่รู้จักบิทคอยแต่ไม่ได้ซื้อขาย กลุ่มนี้จะรู้จักบิทคอยน์จากข่าวหรือคนรอบข้าง แต่ไม่มั่นใจหรือมีเงินทุนแต่ไม่อยากซื้อช่วงแรกๆ หรือมารู้จักเมื่อราคาสูงขึ้นมากแล้ว เช่น คอมเมนต์ที่บอกว่ามารู้จักตอนราคาไป 700,000 แล้ว คนที่คิดว่าบิทคอยแพง ผ่านไปกี่ปี กี่ราคา มันจะขึ้นขนาดไหน เขาก็ไม่ซื้ออยู่ดี 3. กลุ่มที่แสดงความคิดเห็นทั่วไป เป็นคอมเมนต์ที่สรุปบทเรียนหรือความรู้สึกจากเรื่องราวในอดีตของผู้ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นในยุคบุกเบิก เช่น "รู้อะไรไม่เท่า รู้งี้" หรือ "ขายไปก็ดีแล้ว คนอื่นจะได้รวยบ้าง" รวมไปถึงคอมเมนต์ที่ให้คำแนะนำแบบสั้นๆ เช่น "เก็บโง่ๆ" และ "ถือยาว+อดทนรวย" คนที่ทําได้จะต้องศึกษาและเข้าใจบิทคอย รวมถึงอดทนรอให้มันงอกงามได้ จากคอมเม้นผมก็มานั่งวิเคราะห์ต่อว่า แต่ละท่านที่มาแสดงความคิดเห็นน่าจะรู้จักบิทคอยในช่วงเวลาไหนบ้าง แบ่งออกได้ 3 กลุ่ม 1 กลุ่มผู้บุกเบิก (รู้จักตั้งแต่ปี 2013-2017) - กลุ่มนี้คือผู้ที่ใช้งาน BX.in.th โดยตรง - เป็นผู้ที่ทันยุคที่บิทคอยยังมีราคาถูกมากๆ เช่น คอมเมนต์ที่พูดถึง ราคาหลักพันหรือหลักหมื่นบาท - คอมเมนต์ที่พูดถึงการเก็บเหรียญในช่วงปี 2017 2 กลุ่มที่รู้จักหลังจากปี 2017 (ช่วงที่ราคาเริ่มพุ่ง) - กลุ่มนี้คือผู้ที่เริ่มสนใจบิทคอยน์ในช่วงที่ราคามีความผันผวนสูงและเริ่มเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง - บางคนรู้จักมาก่อนแต่พึ่งมาสนใจบิทคอยช่วงนี้ 3 กลุ่มผู้ที่รู้จักในช่วงหลัง (ราคาเริ่มสูงมาก) - กลุ่มนี้คือผู้ที่เพิ่งมารู้จักบิทคอยน์เมื่อไม่นานมานี้ หรือเมื่อราคาได้พุ่งสูงขึ้นไปแล้ว หลังปี 2020 ซึ่งมักจะแสดงความรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เข้ามาลงทุนตั้งแต่แรก และพยายาม stack sats ต่อไป จากคอมเม้นและประสบการณ์ของทุกคนในคอมมูนิตี้ ผมได้บทเรียนอะไรบ้าง 1 จงศึกษาบิทคอย และศึกษาบทเรียนในอดีต แล้วนํามาปรับใช้ในอนาคต หลายๆคนไม่ถือยาว แล้วมารู้งี้ ก็เพราะในตอนนั้นยังไม่มีบทเรียนให้เห็น เวลามันย้อนกลับไปไม่ได้ ดังนั้นเราก็โฟกัสที่ปัจจุบัน ผมเคยทําคลิป โฟกัสที่ ปัจจุบัน สําคัญที่สุด ได้พูดถึงประเด็นการซื้อบิทคอยไว้ด้วย ลองไปดูกันได้ น่าจะสรุปสาเหตุความรู้งี้ ของกลุ่มบิทคอยเนอร์ในยุคแรกๆได้ ว่าทำไมเขาถึงไม่ถือจนมาถึงปัจจุบัน 2 "ถือยาว" คือหัวใจสำคัญ คอมเมนต์หลายข้อที่แสดงความเสียดายล้วนมาจากปัญหาการ "ขายทิ้ง" ในช่วงที่ราคาดิ่งลง หรือขายไปเมื่อได้กำไรเล็กน้อย ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญของการลงทุน บทเรียนที่ได้คือค่อยๆสะสม ทยอยออม และไม่ขาย หากเราเชื่อมั่นในสินทรัพย์อย่างบิทคอย การถือครองในระยะยาว (HODL) คือกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุด 3 "เก็บโง่ๆ" คือวิธีที่ง่ายที่สุด คำว่า "เก็บโง่ๆ" จากคอมเมนต์มันสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดที่ว่าไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ซับซ้อนในการเก็งกำไร เพียงแค่ซื้อและเก็บไว้โดยไม่ต้องคิดมากในระยะยาว ก็สามารถสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าได้ 4 ความอดทนต่อความผันผวน มีคอมเม้นที่สะท้อนให้เห็นว่าการจะเก็บสินทรัพย์ที่ผันผวนสูงอย่างบิทคอยน์ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องเผชิญกับความผันผวนทางราคาและปัญหาด้านค่าใช้จ่ายในชีวิตจริง มีหลายสาเหตุ ที่ทําให้คนถือบิทคอยได้ไม่นานพอ ความอดทนจึงเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดสำหรับการออมบิทคอย มีคอมเมนต์ที่ บอกว่ารู้จักตั้งแต่ตอนนั้น แต่ก็ยังไม่รวยสักที ทําให้ผมนึกถึงคลิป ถือ BTC มานาน กําไรเยอะ แต่ทําไมไม่เห็นเปลี่ยนชีวิตสักที? ที่ผมเคยทํา อันนั้นจะพูดในการมองภาพในปัจจุบัน ดูคลิปนี้จบ ยังอารมณ์ค้างไปต่อคลิปนั้นกันได้เลยครับ 5 การจัดการความเสี่ยงและเก็บรักษาบิทคอย บทเรียนสำคัญที่ผู้บุกเบิกหลายคนต้องเผชิญคือการทําบิทคอยหาย - ลืมรหัสผ่าน การทํากระเป๋าเงินดิจิทัลหาย - seedphrase.dat หาย , HDD คอมเสีย - การที่เว็บเทรดปิดตัว โดนโกง - การเรียนรู้ในการเก็บบิทคอยอย่างปลอดภัยใน Hardware wallet สําคัญมากๆ - seed phrase เก็บไว้ให้ปลอดภัย จดในกระดาษ หรือตอกใส่แผ่นโลหะ ห้ามถ่ายรูป ห้ามอัพลงอินเทอร์เน็ต คําว่า Not Your Key , Not Your Coins มันเกิดมาจากปัญหาเรื่องบิทคอยหาย เพราะเราไม่ได้เก็บบิทคอยด้วยตัวเอง ดังนั้นดูแล HW , seed phrase และ บิทคอยของคุณให้ดี ถ้า seed หลุด บิทคอยหายได้ทั้งหมด 6 เข้าใจความแตกต่างระหว่าง "การออม" และ "การลงทุน" มีคอมเม้นที่พูดถึง "การเทรดและการลงทุน" ซึ่งมักจะเน้นการเก็งกำไรระยะสั้นหรือเทรดซื้อขาย อาจทำให้ไม่ประสบความสำเร็จ ในขณะที่การ "ออม" ที่มาจากการศึกษา และเข้าใจบิทคอย รวมวางแผนระยะยาวต่างหากที่จะสร้างความมั่งคั่งได้ง่ายกว่า ผมมีคลิปแยกการออมและลงทุน ลองไปศึกษากันดูนะครับ สรุป 1 ถือบิทคอยไว้เฉยๆ วิธีเรียบง่าย แต่ทําโคตรยาก เพราะเราไม่มีทางรู้อนาคตว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น เหมือนกับคอนเท้นในวันนี้ ที่มีเหล่า Early Adopters มาแชร์ประสบการณ์และความเสียดายมากมายที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ถ้าพวกเขารู้ว่าราคาจะพุ่งมาขนาดนี้ใครจะขายถูกมั้ย? 2 การออมบิทคอย ระยะยาว เก็บไว้อย่างปลอดภัยใน HW คือวิธีที่ง่ายที่สุดก็ต่อเมื่อ เราเข้าใจบิทคอยจริงๆ ถ้าไม่เข้าใจ เราก็จะขายออกในวันที่ไม่ควรขาย 3 โฟกัสที่ปัจจุบันสําคัญที่สุด ความผิดพลาดในอดีตเอามาเป็นบทเรียนเพื่อให้ไม่ผิดเรื่องเดิมซ้ำๆ 4 ในตอนนี้พวกเรารู้แล้วว่า บิทคอยคือทางรอดและยืนระยะจากผู้โจมตีมาได้ถึง 16 ปี บิทคอยคือการเงินไร้ศูนย์ที่ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ และสาเหตุที่มูลค่ามันเพิ่มขึ้นก็เพราะการพิมพ์เงิน และเงินเฟ้อที่ไม่มีทางทีที่จะลดลง รวมถึงคนเริ่มเห็นความจริงตรงนี้มากขึ้นว่า บิทคอยเป็นแหล่งเก็บมูลค่า ต่อต้านเงินเฟ้อ การถือครองระยะยาว ทําให้เรามีความมั่นคงและมั่งคั่งมากขึ้น 5 ผมเชื่อว่า บทเรียนในอดีตทําให้คนที่เข้าใจเก็บบิทคอยระยะยาวกันมากขึ้น - ถ้าหากเราไปดูข้อมูล on chain ข้อมูล bitcoin dominance รวมถึง supply ของบิทคอยใน exchange ที่น้อยลงไปเรื่อยๆ - รัฐชาติเริ่มเก็บ ทํา bitcoin reserve - บริษัท เริ่มทํา bitcoin treasury company มากขึ้น - ในอเมริกา สัดส่วนคนถือครองบิทคอย แซงหน้า ทองคําเป็นที่เรียบร้อยแล้ว - อเมริกันดรีมที่เคยมีเป้าหมายคือบ้าน รถ กลายเป็นการถือบิทคอย 1 BTC แทนแล้ว คุณเห็นเทรนแห่งอนาคตแล้วยัง?? ทองคําคือเงินของพระเจ้า เฟียตคือเงินของรัฐบาล บิทคอยคือเงินของประชาชน บิทคอยยิ่งรู้ช้า ยิ่งซื้อแพงขึ้น #siamstr #btc #bitcoin #satsandsound #ถือbtc #ออมbtc #stacksats

#รู้งี้ #bitcoin #siamstr #btc #satsandsound
sats_and_sound
sats_and_sound 21d

ความสำเร็จที่แท้จริง ต้องยั่งยืน และทำซ้ำๆได้ - Sats And Sound Ep.48 https://youtu.be/daFoASGwwFQ บทความนี้อยากให้ทุกคนหันกลับมมามองสิ่งที่เราเคยทำ สิ่งที่เราคิดว่าเป็นความสำเร็จ ว่าแท้ที่จริงมันเป็นสิ่งที่เราควร ดีใจ ภูมิใจ และยั่งยืนขนาดไหน สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมกลับมาทบทวนตัวเอง เพราะถ้าหากเราต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ว่าเรื่องไหน ล้วนแต่เป็นเกมระยะยาวทั้งนั้น ดังนั้น ความสำเร็จที่แท้จริง ต้องยั่งยืนและทำซ้ำๆได้ คนที่ประสบความสําเร็จ เขาจะสามารถทําสิ่งนั้นๆได้อีกเรื่อยๆ เช่นดาราที่ได้รางวัลออสก้าซ้ำๆ หรือ นักธุรกิจที่สร้างเงินได้เรื่อยๆ พอคิดได้แบบนี้ การมองโลกของผมก็เปลี่ยนไปเลย ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เราบังเอิญทำแล้วสำเร็จ หรือได้ผลดีมันแย่นะ ยกตัวอย่างเช่น บังเอิญถูกหวย บังเอิญขายของได้ค่าคอมเยอะๆ ถ้าได้ผมก็ดีใจกับมัน แต่ผมจะคอยเตือนตัวเอง และไม่หลงคิดไปว่า สิ่งบังเอิญเหล่านี้จะเกิดขึ้นซ้ำๆได้บ่อย อาจจะดูมองโลกในแง่ร้ายไปหน่อย แต่ตัวผมเองเป็นคน ไม่พึ่งโชค ไม่พึ่งดวง มองทุกอย่างเป็นความจริงที่จับต้องได้เท่านั้น ยกตัวอย่าง 1. ความสำเร็จคือการขายของออนไลน์หรือทำนายหน้า - ถ้าเป็นการขายของตรงกับคลิปที่เราจะขาย แล้วขายได้เรื่อยๆ อันนี้ผมจะดีใจ เพราะสินค้าที่ขายเกิดจากลูกค้าสนใจคลิปเราแล้วกดซื้อ มีโอกาสที่เราจะขายได้ซ้ำๆอีก ถึงจะได้เงินไม่มากต่อขึ้นก็ไม่เป็นไร เรามองระยะยาว - ถ้าเป็นสินค้าที่ไม่เกี่ยวข้องกับคลิปของเรา แล้วลูกค้ากดซื้อ เราได้ค่าคอม ถึงแม้จะได้เงินเยอะ แต่สิ่งนี้ไม่ยั่งยืน และมีโอกาสที่เราจะขายได้แค่ครั้งเดียว ผมก็จะเฉยๆครับ ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้คาดหวังมาก 2. ความสำเร็จคือการหาเงินมา ออมบิทคอย ได้มากขึ้น ตัวอย่างนี้เราจะได้เห็นประโยชน์ ของการทําซํ้าๆได้อย่างชัดเจน - ถ้าเงินที่ได้มาจากการถูกหวย การขายของที่ทำได้แค่ครั้งเดียว ได้เงินก้อน ผมก็จะเฉยๆครับ ไม่ได้ภูมิใจอะไรมาก เพราะสิ่งนี้มันทําซํ้าไม่ได้ - ถ้าเงินที่ได้มาเกิดจาก การทํางาน productivity ร่วมกับการจัดการเงินส่วนบุคคลผ่านการทํารายรับรายจ่าย อันนี้น่าภูมิใจกว่าเพราะเราคิดมาแล้ว และที่สําคัญมันทําได้ในระยะยาว ถึงแม้ว่าจํานวนที่ใช้ออมบิทคอยจะน้อยกว่าแต่ยั่งยืนกว่ามาก ผมทำทุกเดือนสร้างวินัยจนเป็นนิสัย มันจะค่อยๆขัดเกลา มายเซ็ตของเราให้เดินถูกทางมากขึ้นด้วย อะไรที่ผ่านกระบวนคิดมาดีแล้ว และไม่ฉาบฉวย ผมว่ามันยั่งยืนและมีความสุขกว่าจริงๆนะ ตรงกับหลักคิดของ บิทคอย ที่ทุกคนต้อง Low Time Preference และชอบหลักการ อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ในตอนนี้เราอยู่ในโลกของเงินเฟียต ที่ต้องรวดเร็ว High Time Preference ตลอดเวลา แต่ละวันเราก็จะเห็นข่าว คนถูกหวยรางวัลใหญ่ เป็นสิบๆล้าน ข่าวความสำเร็จของนัก ธุรกิจที่สร้างตัวได้อย่างรวดเร็ว เช่น 1 ปีรวยเลย ประสบความสำเร็จในระยะสั้น ข่าวพวกนี้อ่านได้แต่อย่าไปอินกับสิ่งพวกนี้มากนะครับ ความสำเร็จแบบชั่วคราวเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในคนแค่ 1% เท่านั้น มนษย์ธรรมดาอีก 99% อย่างพวกเรา อยากให้รู้เท่าทันความคิด และมองโลกแห่งความเป็นจริง ไม่พึ่งพาโชคหรือเอาความสำเร็จไปแขวนกับความไม่แน่นอน อยากประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนและแท้จริง ไม่ว่าในเรื่องไหน ต้องหาวิธีที่ทำให้เราสามารถทำสิ่งนั้นซ้ำๆได้ ผมเองไม่ได้ด้อยค่าคนที่ฟลุ๊ดหรือโชคดีนะครับ บุญวาสนาโชคลากเป็นเรื่องตัวใครตัวมัน ถ้าโชคดีก็ถือว่าเป็นทางลัดไปสู่ความสําเร็จเร็วขึ้น เช่นเรื่องเงิน เราก็จัดการดีๆ อย่าเอาไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือยหมด ไม่งั้นจากลาภ มันจะกลายเป็นทุกขลาภแทน สรุป 1. ความสําเร็จที่แท้จริง ต้องยั่งยืนและทําซํ้าๆได้ มันไม่ได้เกิดเพียงข้ามคืน ต้องอาศัยทั้ง วินัย ความสามารถ และการอุทิศเวลา เพื่อสร้าง Productivity ซํ้าๆนั่นเอง 2. รู้เท่าทันความสำเร็จที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นสิ่งที่ทำซ้ำๆไม่ได้ เราก็อย่าไปคาดหวังว่ามันจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ใช้ชีวิตอย่างมีสติ 3. อยู่ในโลกแห่งความจริง ค่อยๆสะสมประสบการณ์ ความรู้ ความชํานาญ อยากสําเร็จเรื่องไหน ก็โฟกัสที่เป้าหมายนั้น ผมเชื่อว่าทุกคนสามารถทําตามเป้าที่ตัวเองคาดหวังได้ ไม่ช้าก็เร็ว 4. ความโชคดี ความฟลุ๊ค เกิดขึ้นก็ดี มันเป็นทางลัดที่ทําให้เราไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น แต่อย่าไปคาดหวังว่าความโชคดีจะเกิดขึ้นบ่อยๆ รู้เท่าทันความคิดของตัวเอง #siamstr #satsandsound #bitcoin #btc #พัฒนาตัวเอง #ความสำเร็จ

#siamstr #satsandsound #bitcoin #btc #พัฒนาตัวเอง
sats_and_sound
sats_and_sound 22d

การออมบิทคอยด้วย หลักการ สิบเท่า เกษียณได้จริงมั้ย ?? - Sats And Sound Ep.47 https://youtu.be/LVGWzIMa70o วันนี้ผมก็จะมาเสนอหลักการ การตั้งเป้าหมาย การออมบิทคอย "ด้วยหลักการสิบเท่า" กันครับ ซึ่งเป็นการกําหนดเป้าหมายระยะยาวที่ท้าทายขึ้นอีกระดับหนึ่ง ไอเดียนี้ผมเองก็เพิ่งเคยได้ยินเหมือนกันครับ เห็นว่ามันน่าสนใจดีก็เลยจะเอามาแชร์ให้ฟังกัน อยากให้ดูให้จบเพราะผมจะคํานวณตัวเลขจริงให้ดูว่าออมบิทคอยด้วยหลักการสิบเท่า - คํานวณยังไง - ต้องมี BTC เท่าไหร่ - ที่สําคัญ มันเกษียณได้จริงมั้ย การกําหนดเป้าหมายการออมบิทคอย ที่จริงมันหลากหลายมากๆนะครับ จากคลิป Bitcoin เริ่มออมเท่าไหร่ดี?? ที่ผมเคยทําไปก่อนหน้านี้ ผมก็ได้มีการยกตัวอย่างเป้าหมายในการออมบิทคอย 2 เป้าหมายคือ 1 ออมให้ได้ 0.01 BTC 2 เป้าหมายเกษียณ โดยใช้การคํานวณจากตัวเลขจริงจาก Bitcoin Retirement Calculator ดูคลิปนี้จบ ใครสนใจไปต่อคลิปนั้นกันได้ ผมแปะลิงค์ไว้ให้แล้ว กลับมาที่วันนี้กันก่อน หลักการสิบเท่าเป็นการตั้งเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว โดยให้มูลค่าของบิทคอยที่ถือครอง มีมูลค่าอย่างน้อย 10 เท่าของค่าใช้จ่ายประจำปี ของเราเอง คํานวณง่ายเข้าใจง่ายมากครับ ตัวอย่าง: ชายโสด อายุ 30 ปี ค่าใช้จ่ายต่อปีคือ 300,000 บาท ต้องการเกษียณตอนอายุ 60 ปี ดังนั้นเป้าหมายตามหลักการนี้คือ การมีบิทคอยน์ที่มีมูลค่าอย่างน้อย 3,000,000 บาท ถ้าเทียบราคา 1 BTC = 4,000,000 บาท เป้าหมายการออมบิทคอยตามหลักการสิบเท่า หากมีค่าใช้จ่าย 300,000 บาท ต่อปี ก็คือ 0.75 BTC ถือว่าเป็นจํานวนบิทคอยที่ไม่น้อยเลย เพื่อคอนเฟิร์มว่าจํานวนเท่านี้มันเกษียณได้จริงมั้ย เราจะลองเอาข้อมูลเคสนี้ไป คํานวณผ่าน Bitcoin Retirement Calculator กัน ใส่ข้อมูลได้เลย อายุ 30 ปี คิดว่ามีชีวิตอยู่ถึง 86 ปี จํานวนบิทคอยที่ถือ 0.75 BTC ไม่ซื้อเพิ่มต่อปีแล้วหลังเกษียณ คิดว่าอัตราดอกเบี้ยทบต้น 30% และเงินเฟ้อ 8% ส่วนหัวข้อ Desired annual retirement income เงินที่ต้องใช้ต่อปีหลังเกษียณ ข้อนี้เราใส่ ตัวเลข 3,000,000 บาท ตามหลักการสิบเท่าเข้าไปครับ (ประมาณ 94,000 ดอลล่าสหรัฐ) ที่จริงหัวข้อนี้ ผมลองไปคํานวณค่าใช้จ่ายต่อปี ใหม่โดยการคิดเงินเฟ้อ 8% จะได้ว่า ค่าใช้จ่ายรายปี 300,000 บาท ในปีนี้ อีก 30 ปีข้างหน้า มันจะกลายเป็น 3,016,160 บาท ตัวเลขก็ใกล้เคียงกับ หลักสิบเท่าเหมือนกันนะ ดังนั้นข้อใช้เลขเดียวกันไปเลย ในชาร์ตสรุปว่า ถ้าเรามี 0.75 BTC ในตอนนี้ตามที่คํานวณจากหลักการออมบิทคอยสิบเท่า คุณจะสามารถเกษียณได้ตอนอายุ 41 ปี ถือว่าเกษียณได้เร็วมากเลยนะครับ ในเคสนี้สิ่งที่ต้องทําคือ 1 เก็บบิทคอยให้ได้ 0.75 BTC ถ้าทําได้ก่อน อายุ 41 ปี คุณก็เกษียณได้เลย 2 หลังจากนั้น คุณอาจจะ - HODL ถือบิทคอยต่อไปเรื่อยๆ ด้วยการเก็บใน HW ที่ปลอดภัย เพื่อเพิ่มความมั่นคงในชีวิตและมีอํานาจการใช้จ่ายที่มากขึ้น - ขายตามอัตราส่วนเพื่อเอาเงินมาใช้จ่าย ถ้าเป็นผมทําได้ตอนอายุ 41 ปี ผมไม่ขายบิทคอยนะ คิดว่าคงจะ stack sats ต่อสะสมไปเรื่อยๆ บิทคอยมีเท่าไหร่ก็ไม่พอ ยิ่งมีมากยิ่งสบายใจ มีเวลาทํางานอีกตั้ง 19 ปี ผมว่าเก็บบิทคอยน้อยกว่านี้ก็ยังเกษียณได้เลย 3 บางคนอาจจะเลือกกระจายไปลงทุน หรือ สร้าง cash flow เตือนไว้ก่อน ใครจะเอาบิทคอยที่ออมได้แล้วไปต่อยอด ค้ำประกัน หรือลงทุนต่อ คิดและศึกษาหาข้อมูลดีๆนะครับ ทําแบบนี้บิทคอยคุณเสี่ยงเพิ่มขึ้นมาก จากที่มั่นคงจะเครียดแทนได้ สรุป 1 การออมบิทคอยด้วย หลักการ สิบเท่า เป็นหนึ่งในวิธีกําหนดเป้าหมายการออมบิทคอย ระยะยาว จากกรณีศึกษาสามารถเกษียณได้จริง และตัวเลขสอดคล้องกับเครื่องมืออื่นๆที่เคยใช้คํานวณ 2 เป้าหมาย และตัวเลขที่คาดการณื เป็นเพียงการคํานวณให้เราเห็นภาพคร่าวๆเท่านั้น การเกษียณเป็นเกมระยะยาว เราไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น 3 คลิปนี้เป็นแค่หนึ่งในไอเดียในการกําหนดเป้าหมายเท่านั้น ผมเชื่อว่าคนที่ตั้งใจ stack sats ทุกคนมีวิธีที่ดีที่สุดสําหรับตัวเอง 4 ความเห็นส่วนตัวคิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้าง consevative ตัวเลขบิทคอยที่เป็นเป้าหมายมันสูง และต้องใช้เวลาเก็บระดับหนึ่ง ใครรู้สึกว่ายาก ไม่ต้องเครียดนะครับ ทําเท่าที่เราทําได้ ผมเชื่อว่าทุกคนมีทางของตัวเอง ส่วนตัวแนะนําเริ่มจาก 0.01 BTC ก่อน ถ้าทําได้ค่อยเพิ่มเป็น 0.1 BTC ค่อยเพิ่มเป้าทีละนิด ไม่แน่นะวันที่คุณมี 0.1 BTC มันอาจจะเพียงพอต่อการเกษียณโดยที่คุณไม่รู้ตัวแล้วก็ได้ คนที่ดูมาทั้งคลิปแล้วลองคํานวณของตัวเองดูครับ ว่าเป้าหมายของคุณเท่าไหร่ และคุณจะวางแผนเก็บบิทคอยให้ถึงได้อย่างไร ผมขอให้ทุกท่าน stack sats ได้ตามเป้าหมายนะครับ #siamstr #btc #bitcoin #ออมเงิน #ออม #ออมบิทคอย #satsandsound

#siamstr #btc #bitcoin #ออมเงิน #ออม

Welcome to sats_and_sound spacestr profile!

About Me

Sats and Sound: สร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืน ผ่านการเงินดิจิทัลและการพัฒนาตนเอง ชื่อช่องสามารถตีความให้ครอบคลุมทั้งบิตคอยน์ (Sats), การเงิน (Sound Money), และการพัฒนาตัวเอง (การเรียนรู้ผ่าน "Sound" หรือเสียงที่เป็นความรู้ที่มั่นคง)

Interests

  • No interests listed.

Videos

Music

My store is coming soon!

Friends