
รู้หรือไม่ ! หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ มีมูลค่าประมาณ 32.6 ล้านล้านดอลลาร์ หาก 1 ดอลลาร์ = 1 มิลลิเมตร จะเท่ากับระยะทางไปกลับจากโลกถึงดวงจันทร์เกือบ 85 ครั้ง 💸🌏🌙
🔔 This profile hasn't been claimed yet. If this is your Nostr profile, you can claim it.
Editรู้หรือไม่ ! หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ มีมูลค่าประมาณ 32.6 ล้านล้านดอลลาร์ หาก 1 ดอลลาร์ = 1 มิลลิเมตร จะเท่ากับระยะทางไปกลับจากโลกถึงดวงจันทร์เกือบ 85 ครั้ง 💸🌏🌙
เรากำลังอยู่ในขั้นที่ 2 ของสงครามโลกครั้งที่ 3 - (Mass psychosis) การยอมรับสงคราม - จุดชนวนสงคราม - ตั้งพันธมิตร - สงครามโลกครั้งที่ 3 เต็มรูปแบบ ทำไมพวกเขาถึงต้องการสงคราม? สงครามถูกวางแผนมานานหลายทศวรรษ โลกนี้ถูกควบคุมโดยคาบาลหรืออิลูมินาติ คนเหล่านี้ควบคุมนักการเมือง สื่อ รวมถึงสื่อไทย ระบบการศึกษา ธนาคาร กองทัพ กฎหมาย ทั้งหมด และทำงานในโครงสร้างแบ่งส่วนอย่าง ( Compartmentalize) เข้มงวดจากบนลงล่าง ดังนั้น สิ่งแรกที่ผมอยากบอกคือ นักการเมืองเหล่านี้ไม่มีอำนาจจริง พวกเขาเป็นพนักงานระดับต่ำในโครงสร้างอำนาจของคาบาล [แสดงพีระมิดโครงสร้างอำนาจ] คาบาล คือคนจำนวนน้อยที่ควบคุมโลกนี้ ข้อได้เปรียบสำคัญคือความรู้ที่ใช้ควบคุมมนุษยชาติ ความรู้เรื่องระบบการเงิน สุขภาพ เทคโนโลยี และที่สำคัญที่สุดคือ… ความรู้เรื่องความเป็นจริงของโลก/เมทริคซ์… พลังงาน และพวกเขาเข้าใจจิตวิทยามนุษย์อย่างลึกซึ้ง เพื่อการควบคุมเรา คนเหล่านี้มีจำนวนน้อย พวกเขาทำงานโดยควบคุมการรับรู้ ใช่ครับ พวกเขาควบคุมการรับรู้ของเราโดยที่เราไม่รู้ตัว การรับรู้ที่เราเข้าใจว่าเป็นของเราเองจริง ๆ นั้น ถูกควบคุมผ่านสื่อ กาารศึกษา ศาสนา เป็นต้น บางอย่างในระดับจิตใต้สำนึก เพื่อแบ่งแยกแล้วปกครอง (divide and rule) มีรัฐบาลอยู่สองประเภท รัฐบาลถาวร และรัฐบาลที่เราเลือกในแต่ละประเทศ โครงสร้างอำนาจที่เราเห็น เป็นภาพลวงตา เราคิดว่ารัฐมนตรีหรือประธานาธิบดีมีอำนาจสูงสุด แต่ไม่ใช่เลย พวกเขาอยู่ต่ำสุดในโครงสร้างอำนาจที่แท้จริง รัฐบาลที่เราเห็นคือชนชั้นแรงงานในโครงสร้างอำนาจของคาบาล ตัวอย่างใกล้ตัวเช่น จีนเข้าควบคุมเศรษฐกิจไทยได้อย่างไร แต่ไม่มีใครทำอะไร นั่นเพราะคาบาลอนุญาต และโครงสร้างอำนาจลับของพวกเขาอนุญาตให้เกิดเรื่องนี้ ลองสังเกตครับว่า นายกรัฐมนตรีวันนี้/สมัยนี้ ไม่ฉลาดแค่ไหน คุณเคยสงสัยไหมว่าพวกเขาได้เป็นนายกอย่างไร… เพราะรัฐบาลถาวรที่มีอำนาจจริง อยากให้คนเหล่านี้ขึ้นมาปฏิบัติภารกิจของโลก ประเทศไทยคือหนึ่งในประเทศที่ถูกควบคุมโดยคาบาล คาบาลอยู่ในทุกประเทศทั่วโลก ลองย้อนกลับไปดูในช่วงโควิด ครับ วันนี้เนื้อหาหลักคือสงครามโลกครั้งที่ 3 รวมทั้งสงครามไทย-กัมพูชา คาบาลต้องการสงคราม เพราะเรากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากระบอบประชาธิปไตยไปสู่เทคโนแครซี ทุกอย่างถูกควบคุมด้วยเทคโนโลยี เช่น AI การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทั่วทั้งโลก รวมถึงกฎหมาย การศึกษา สุขภาพ การขนส่ง อาหาร สิทธิมนุษยชน… ทุกสิ่งกำลังเคลื่อนไปสู่การควบคุมรวมผ่านเทคโนโลยี เพื่อให้เปลี่ยนผ่านได้ คาบาลไม่สามารถบอกเราตรง ๆ ว่าเรากำลังเคลื่อนสู่ที่ไหน พวกเขาจึงใช้การโกหก หลอกลวง และความเชื่อเท็จเพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในนาม 'การพัฒนา' ตัวอย่าง: * การกล่าวเรื่องภาวะโลกร้อน - เพื่อผลักดันรถดิจิทัล - ลิดรอนวิถีชีวิตเสรี (ควบคุมการใช้พลังงาน เช่น Net Zero) - Carbon Credit (สิ้นสุดรายได้อิสระ เพราะ SMEs จะล้มเหลว และเราต้องพึ่งพา UBI (เงินพื้นฐานสากล)) - Carbon footprint ใช้เพื่อติดตามเรา 24 ชั่วโมง เพราะการตรวจวัดร่องรอยคาร์บอนคือการติดตามทุกหน่วยพลังงานที่เราใช้ ข้อมูลถูกบันทึกบน blockchain * การแพร่ระบาดปลอม (Fake Pandemic) - เพื่อสร้างเมือง 15 นาที (15-minute cities) หรือสิ่งที่บางคนเรียกว่า “ล็อกดาวน์ถาวร” - เพื่อเปลี่ยนกฎหมาย เช่น IHR และที่เกี่ยวข้องคือการฉีดวัคซีนต่อเนื่องให้มนุษย์ที่มี graphene oxide, เทคโนโลยีตัดต่อยีน และนาโนบ็อต ยังมีอีกมากที่กำลังเกิดขึ้น เช่น Smart City, AI, เงินดิจิทัล, GMO ดิจิทัล ID และอื่น ๆ … แต่วันนี้เราพูดถึงสงคราม สงครามเป็นเหตุการณ์จำเป็นสำหรับคาบาล เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่กฎหมายหรือวิธีอื่นไม่สามารถทำได้ เขาเรียกว่า constructive destruction ก็เหมือน เมื่อคุณมีที่ดินพร้อมบ้านและต้องการสร้างตึกใหม่ มีทางเดียวคือทำลายบ้านหลังเดิม “สงครามโลกครั้งที่ 1 กับการล่มสลายของราชวงศ์: จุดจบของโลกเก่า” และจุดเริ่มต้นของ คอมมิวนิสต์ และ ประชาธิปไตย (ช่องทางการไปมีอำนาจของคาบาลในทุกประเทศทั่วโลก) สงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่ได้เป็นแค่การนองเลือดในสนามรบ แต่มันคือการ ‘รื้อถอน’ โลกเก่า ราชวงศ์ที่เคยปกครองมายาวนานนับร้อยปี ถูกโค่นลงในเวลาไม่ถึงทศวรรษ อาณาจักรใหญ่ ๆ พังทลาย ประเทศใหม่ถือกำเนิด และแนวคิดเรื่อง ‘รัฐชาติ’ ถูกเขียนขึ้นใหม่โดยผู้ชนะ” 🔶 1. จักรวรรดิออตโตมัน – สิ้นสุดความเป็นผู้นำโลกอิสลาม** ออตโตมันเคยปกครองโลกมุสลิมกว่า 600 ปี ครอบคลุมตุรกี ปาเลสไตน์ อิรัก ซีเรีย แอฟริกาเหนือ หลังสงคราม ถูกแบ่งโดยสนธิสัญญา Sykes–Picot ไม่มีการถามประชาชน ปี 1924 ระบบคาลิฟะห์ถูกยกเลิก — โลกอิสลามแตกเป็นรัฐเล็กอ่อนแอ ใต้อาณานิคมตะวันตก 🔶 2. จักรวรรดิรัสเซีย – ล่มสลายซาร์ กำเนิดคอมมิวนิสต์** จักรวรรดิรัสเซียปกครองโดยราชวงศ์โรมานอฟกว่า 300 ปี สงครามทำให้เศรษฐกิจพัง ประชาชนอดอยาก ปี 1917 เกิดการปฏิวัติ ราชวงศ์ถูกล้ม พรรคบอลเชวิคก่อตั้งสหภาพโซเวียต และระบอบคอมมิวนิสต์ — กลายเป็นศัตรูอุดมการณ์ของโลกตะวันตก 🔶 3. จักรวรรดิเยอรมัน – ล้มจักรพรรดิ สูญอำนาจ** เยอรมนีภายใต้ไกเซอร์วิลเฮล์มที่ 2 มีอำนาจสูงมาก หลังพ่ายแพ้ ต้องลงนามสนธิสัญญาแวร์ซายส์ เสียเงิน เสียดินแดน ราชวงศ์สิ้นสุด กลายเป็น “สาธารณรัฐไวมาร์” — ปูทางให้ฮิตเลอร์ขึ้นสู่อำนาจ 🔶 4. ออสโตร–ฮังการี – แตกเป็นรัฐเล็ก** จักรวรรดิที่รวมเชื้อชาติหลากหลาย ถูกแยกหลังสงคราม ราชวงศ์ฮัปส์บวร์กล่ม ประเทศใหม่เกิดหลายแห่ง เช่น ออสเตรีย ฮังการี เชโกสโลวาเกีย — จากจักรวรรดิเดียวกลายเป็นรัฐเล็กอ่อนแอ ถูกมหาอำนาจชักใย 🧩 บทสรุป: สงครามโลกครั้งที่ 1 คือ “การรื้อถอนระบบกษัตริย์ทั่วโลก” “ราชวงศ์โบราณถูกล้ม อาณาจักรถูกแบ่งเป็นรัฐย่อย ผู้นำทางศาสนาถูกตัดขาด ประเทศเกิดใหม่ไร้ราก… พร้อมถูกออกแบบใหม่ด้วยมือของผู้ชนะ” และทั้งหมดนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มันคือการ ออกแบบโลกใหม่ โดยไม่มีอำนาจดั้งเดิมขัดขวางอีกต่อไป คาบาลวางแผนสงครามโลกไว้ 3 รอบ รอบที่สองคือ การรวมอำนาจในกลุ่มคน ที่น้อยลง หรือ Power Centralization สงครามโลกครั้งที่ 2 คือโศกนาฏกรรมของมนุษยชาติ แต่คุณรู้ไหมว่า…หลังจากสงครามจบ โลกไม่ได้แค่ถูกสร้างใหม่ — มันถูก ออกแบบใหม่ทั้งระบบ ไปดู 10 ระบบที่เกิดขึ้นหลังสงคราม และกลายเป็นเครื่องมือควบคุมโลกที่แทบไม่มีใครรู้ทัน 🔷 1. องค์การสหประชาชาติ (UN) – รัฐบาลโลกที่สวมหน้ากากสันติภาพ ก่อนสงคราม: ประเทศต่าง ๆ จัดการปัญหาของตนเอง ไม่มีเวทีสากลที่มีอำนาจชี้นำจริงจัง หลังสงคราม: UN ถูกก่อตั้งเพื่อ “รักษาสันติภาพ” แต่จริง ๆ แล้ว เป็นเวทีรวมอำนาจระดับโลก ผ่านองค์กรลูก เช่น WHO, UNESCO, UNHCR กลไกควบคุม: กำหนดนโยบายระดับโลก เช่น วัคซีน การศึกษา ภูมิอากาศ ชาติสมาชิกต้องปรับกฎหมายให้สอดคล้อง เป้าหมายของพวกเขา: หากไม่มี UN การออกกฎระเบียบระดับโลกเป็นไปได้ยาก แต่เมื่อมี UN พวกเขามีเวทีบงการนโยบายโลกผ่าน “ฉันทามติ” 🔷 2. กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) – ควบคุมโลกด้วยหนี้ ก่อนสงคราม: ประเทศต่าง ๆ จัดการการเงินด้วยตนเอง ไม่มีใครมากำหนดเศรษฐกิจจากภายนอก หลังสงคราม: IMF ก่อตั้งเพื่อ “รักษาเสถียรภาพการเงิน” แต่เงินกู้ที่ให้มา มีเงื่อนไขรัดคอ กลไกควบคุม: ประเทศที่เป็นหนี้ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของ IMF กลายเป็นประเทศลูกหนี้ที่ไร้ทางเลือก เป้าหมายของพวกเขา: หากไม่มี IMF ประเทศเล็ก ๆ อาจพัฒนาได้อย่างอิสระ แต่เมื่อมี IMF ก็เหมือนติดคุกการเงินตลอดไป ทุกวันนี้เศษกิจโลกถูกควบคุม ให้ดีหรือแย่ได้ 🔷 3. ธนาคารโลก – พัฒนา หรือ พัง? ก่อนสงคราม: โครงการสาธารณูปโภคอยู่ภายใต้รัฐ เพื่อประโยชน์ของประชาชน หลังสงคราม: ธนาคารโลกให้เงินกู้สร้างถนน เขื่อน โรงไฟฟ้า — แต่บริษัทตะวันตกเป็นผู้ได้งาน และนโยบายที่แนบมากับเงินกู้ก็คือ เปิดตลาด ขายสมบัติชาติ กลไกควบคุม: ประเทศต้องยอมรับนโยบายการค้าเสรี เปิดให้ทุนต่างชาติเข้าถึงทรัพยากรในประเทศ เป้าหมายของพวกเขา: หากไม่มีธนาคารโลก พวกเขาควบคุมทิศทางการพัฒนาไม่ได้ แต่เมื่อมี พวกเขากำหนดอนาคตของประเทศต่าง ๆ ได้ตามใจ 🔷 4. สหภาพยุโรป (EU) – รวมประเทศ กลืนอธิปไตย ก่อนสงคราม: ยุโรปมีหลายประเทศ หลายสกุลเงิน และมีนโยบายของตนเอง หลังสงคราม: เริ่มจากข้อตกลงถ่านหิน กลายเป็นสหภาพยุโรป มีรัฐสภากลาง สกุลเงินเดียว (ยูโร) และกฎหมายร่วม กลไกควบคุม: กฎหมายของอียูมีผลเหนือกฎหมายในประเทศ การตัดสินใจในระดับชาติถูกจำกัด เป้าหมายของพวกเขา: หากไม่มีอียู พวกเขาต้องต่อรองกับแต่ละประเทศ แต่เมื่อมีศูนย์กลางในบรัสเซลส์ ทุกอย่างอยู่ในมือเดียว 🔷 5. นาโต้ (NATO) – พันธมิตร หรือ ตำรวจโลก? ก่อนสงคราม: พันธมิตรทางทหารมีแบบชั่วคราว ไม่ถาวร หลังสงคราม: นาโต้ถูกจัดตั้งเพื่อต้านโซเวียต แต่แม้โซเวียตจะล่มสลาย นาโต้ก็ยังขยายและเข้าครอบงำประเทศอื่นต่อ กลไกควบคุม: สมาชิกต้องสนับสนุนนโยบายสหรัฐฯ ยอมให้ตั้งฐานทัพ ซื้ออาวุธ และร่วมสงคราม เป้าหมายของพวกเขา: หากไม่มีนาโต้ การทำสงครามหรือแทรกแซงต้องเจรจา แต่เมื่อมีนาโต้ ก็มีเครื่องมือพร้อมรบตลอดเวลา 🔷 6. GATT → WTO – ค้าขายโลกใต้กฎของพวกเขา ก่อนสงคราม: ประเทศสามารถตั้งภาษี ปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศได้ หลังสงคราม: GATT กลายเป็น WTO กำหนดกติกาการค้าโลก — ถ้าไม่ทำตามอาจโดนฟ้องร้องจากบริษัทยักษ์ใหญ่ กลไกควบคุม: ประเทศสูญเสียสิทธิในการห้ามสินค้าที่อันตรายหรือปกป้องเกษตรกรในประเทศ เป้าหมายของพวกเขา: หากไม่มี WTO บริษัทข้ามชาติไม่สามารถเจาะตลาดโลกได้สะดวก แต่เมื่อมีกฎกลาง พวกเขาควบคุมทุกอย่าง บริษัทระดับโลกทั้งหลายล้วนแล้วเป็นของพวกคาบาล 🔷 7. CIA & NSA – รัฐเงากับการควบคุมข้อมูล ก่อนสงคราม: หน่วยข่าวกรองมีขอบเขตจำกัด แค่ในประเทศ หลังสงคราม: CIA และ NSA กลายเป็นองค์กรที่มีอำนาจระดับโลก จัดฉากรัฐประหาร ปั่นข่าว และสอดแนมประชาชน กลไกควบคุม: ควบคุมสื่อ การเมือง และกระแสสังคมทั่วโลก เป้าหมายของพวกเขา: หากไม่มี CIA/NSA ข้อมูลจะกระจายอิสระ แต่ด้วยหน่วยข่าวกรอง พวกเขาควบคุมความจริงได้ 🔷 8. การก่อตั้งอิสราเอล – จุดไฟตะวันออกกลาง ก่อนสงคราม: ตะวันออกกลางมีหลายชาติหลากวัฒนธรรม แต่ยังไม่มีจุดขัดแย้งที่ควบคุมไม่ได้ หลังสงคราม: อิสราเอลถูกก่อตั้งกลางภูมิภาคน้ำมัน สร้างความขัดแย้งต่อเนื่องไม่สิ้นสุด กลไกควบคุม: ความขัดแย้งทำให้มหาอำนาจแทรกแซงภูมิภาคได้ตลอดเวลา เหมือนที่ไทย/กัมพูชากำลังจะถูก เป้าหมายของพวกเขา: หากไม่มีความขัดแย้งในตะวันออกกลาง พวกเขาจะไม่มีเหตุผลในการคุมแหล่งพลังงานของโลก แต่เรื่องนี้มีมากกว่านั้น ไว้เล่าให้ฟังครับ 🔷 9. ระบบปิโตรดอลลาร์ – น้ำมันแลกดอลลาร์ ก่อนสงคราม: น้ำมันซื้อขายได้หลายสกุลเงิน ระบบเงินตราอิงทองคำ หลังสงคราม: สหรัฐฯ ทำข้อตกลงให้ซาอุขายน้ำมันด้วยดอลลาร์เท่านั้น ทุกประเทศจึงต้องถือเงินดอลลาร์ไว้ กลไกควบคุม: ความต้องการเงินดอลลาร์เพิ่มขึ้น สหรัฐสามารถพิมพ์เงินใช้เองโดยไม่มีผลกระทบ เป้าหมายของพวกเขา: หากไม่มีปิโตรดอลลาร์ สหรัฐจะสูญเสียอำนาจทางการเงินระดับโลก 🔷 10. อุตสาหกรรมสงคราม – ความขัดแย้งคือกำไร ก่อนสงคราม: หลังสงคราม กองทัพและอุตสาหกรรมทหารจะลดขนาด หลังสงคราม: เกิด “อุตสาหกรรมสงครามถาวร” ที่ต้องมีศัตรูตลอดเวลาเพื่อหมุนเงินเข้าสู่บริษัทอาวุธ แน่นอนครับที่ลืมไม่ได้! ต้องมีหัวข้อที่ 11 – WEF (World Economic Forum) 🔶 World Economic Forum (WEF) – คณะรัฐมนตรีเงาของชนชั้นนำโลก ก่อตั้ง: ค.ศ. 1971 โดย Klaus Schwab แต่แนวคิดขององค์กรนี้ฝังรากอยู่ในโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และอุดมการณ์ของ Bretton Woods 🕰️ ก่อนมี WEF ก่อนหน้านั้น นักธุรกิจและนักการเมืองระดับสูงมักประชุมลับ ๆ เช่น กลุ่ม Bilderberg แต่ยังไม่มีเวทีสาธารณะที่เปิดเผยว่า “ชนชั้นนำทั่วโลกกำลังวางแผนอนาคตร่วมกัน” 🌍 หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น? WEF กลายเป็นเวที “กลาง” ที่บรรดาผู้นำประเทศ มหาเศรษฐี บริษัทเทคโนโลยี และสื่อมวลชนมาเจอกันทุกปีที่เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ โดยอ้างว่าเพื่อ “แก้ปัญหาโลก” แต่ในความจริง มันคือเวทีที่แนวคิดระดับโลกถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า ก่อนจะถูกนำไปปฏิบัติจริงในแต่ละประเทศ 🔒 กลไกควบคุม: WEF ไม่ออกกฎหมาย แต่ใช้พลัง “แนวคิด” — โดยสร้างกระแส เช่น The Great Reset (การรีเซ็ตโลก) ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล) Stakeholder Capitalism (ทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสีย) รัฐบาลและบริษัทใหญ่ต่างรับเอาแนวคิดเหล่านี้ไปใช้อย่างรวดเร็ว ราวกับมีการเตรียมการไว้แล้ว 💼 ทำไมพวกเขาต้องมี WEF? ถ้าไม่มี WEF ชนชั้นนำทั่วโลกจะเคลื่อนไหวอย่างไร้ทิศทาง แต่เมื่อมี WEF ทุกคนก็ “เดินเกมเดียวกัน” เหมือนสั่งงานผ่านภาคเอกชนและภาครัฐทั่วโลก 🎯 11 ระบบหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สร้างโครงข่ายอำนาจข้ามชาติที่ไม่มีใครตรวจสอบ แต่วันนี้ WEF ได้กลายเป็นศูนย์กลางความคิดของระบบนั้น — ชี้นำโลกด้วยคำหวาน ภายใต้แผนการที่ไม่มีใครเลือกได้...นอกจากพวกเขา เช่นเดียวกัน เพื่อต่อจาก Old World Order สู่ New World Order คุณต้องทำลายโลกเก่า ไม่มีทางเลือกอื่น และนั่นคือเหตุผลที่คาบาลต้องการ สงครามโลกครั้ง ที่ 3 ผลลัพธ์ของสงครามนี้คือการสิ้นสุดของประเทศ และตั้งรัฐบาลโลกเดียว ใช่ครับ คุณอ่านไม่ผิด ไม่มีประเทศอีกต่อไป New World Order คือรัฐบาลขั้วเดียวของโลก ประชากรถูกควบคุมไม่ใช่โดยประเทศ แต่โดยซูเปอร์สเตต เรากำลังก้าวสู่ยุคที่ควบคุมด้วยเทคโนโลยี เข้มงวด และกฎหมายไม่เป็นธรรมที่ถูกผ่าน เช่น Carbon Credit และ IHR ทุกประเทศที่เรารู้จักจะไม่เหมือนเดิม พวกเขาจะแบ่งเราเป็นซูเปอร์สเตต และ 5 ชนชั้น และควบคุมผ่าน AI ผมรู้ว่าคุณอาจกำลังส่ายศรีศระ… และคิดว่า… "คนนี้บ้าไปแล้ว? เป็นไปไม่ได้หรอก " คุณเห็นไหมครับ? ก็เพราะมันเป็นไปไม่ได้หรอกสงครามถึงสำคัญ สงครามจำเป็นเพื่อเปลี่ยนวิถีชีวิตเดิมที่หยั่งรากลึก สู่วิถีใหม่ที่ผู้คนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะเมื่อพวกเขาระเบิดทุกอย่างจนวินาศ เราจะไม่ต้องการอะไรแล้ว ขอเพียงชีวิตและอาหาร เพราะพวกเขาทำลายทุกสิ่ง สงครามครั้งนี้ถูกสร้างบนพื้นฐานของ “ผู้ร้าย” กับ “ผู้ปกป้อง” สงครามแห่งความขัดแย้งที่ถูกออกแบบ ภาพลวงตา สงครามในโลกยุคใหม่… ไม่ใช่การปะทะของอุดมการณ์ ไม่ใช่การปกป้องชาติ แต่คือการแสดงละครขนาดใหญ่ — ที่เขียนบทไว้ล่วงหน้าโดยอำนาจเบื้องหลังโลก แน่นอน บทละครนี้เขียนบนพื้นฐานความรักชาติของประชาชนและทหารที่ต้องการปกป้องชาติ เรามาดูภาพใหญ่กันก่อนดีไหมครับ สงครามโลกครั้งที่ 3 นี้ถูกออกแบบให้ชาติตะวันตกสู้กับชาติอิสลาม โดยจะรวมชาติอิสลามกับประเทศตะวันออกเช่นจีน แล้วให้รัสเซียร่วมทีมด้วย ผลลัพธ์ที่ถูกวางแผนของสงครามนี้คือ การล้มสลายของอำนาจตะวันตก ซึ่งจะไปอยู่ในมือของประเทศจีน และนั่นคือเหตุผลที่ในรอบ 30 ปี จีนกลายเป็น “โรงงานของโลก” รวมถึงระบบการปกครองแบบ Technocracy (ซึ่งก็คือการควบคุมหรือปกครองโดย AI) ถูกทดลองใช้ในจีน ซึ่งจะถูกนำไปใช้ทั่วโลก สงครามครั้งนี้ถูกสร้างบนพื้นฐานของ “ผู้ร้าย” กับ “ผู้ปกป้อง” ที่ว่านี้คือ 🧠 ยุให้เกิดเรื่อง (โดยฝั่งที่ดู “อ่อนแอ”)... ⚔️ ตอบโต้แบบรุนแรง (ที่เตรียมไว้แล้ว)... 🎭 สร้างภาพ "ผู้ร้าย" กับ "ผู้ปกป้อง"... 🎯 เป้าหมายแท้จริง ...สงคราม... วิธีการเริ่มสงครามโลกครั้งที่ 3 การจะเริ่มสงครามโลก มี 4 ขั้นตอนหลัก ๆ ที่ต้องทำ: 1. ปรับอารมณ์มวลชน การยอมรับสงคราม (พลังงานต่ำอย่างมหาศาล) 2. จุดชนวนสงคราม/ความขัดแย้ง ประเทศใกล้กัน (“ผู้ร้าย” “ผู้ปกป้อง”) 3. จัดตั้งพันธมิตร 4. สงครามโลกครั้งที่ 3 อย่างเต็มรูปแบบ --- ขั้นตอนที่ 1: ปรับอารมณ์มวลชน การยอมรับสงคราม เพราะสงครามเป็นสิ่งที่ไม่มีใครต้องการ มันยากมากที่จะเริ่มสงคราม ถ้าประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลตนเองไม่ให้ก่อสงคราม ถ้าคนกัมพูชาตำหนิรัฐบาลของเขา และคนไทยตำหนิรัฐบาลของเขา กองทัพ นักการเมือง และผู้มีอำนาจของทั้งสองประเทศจะไม่สามารถเริ่มสงครามได้ง่าย ๆ ดังนั้นจึงสำคัญมากที่ต้องสร้างความเกลียดชังระหว่างประชาชน และสร้างฉากว่าอีกฝ่ายผิด อีกฝ่ายถูก ประชาชนแต่ละกลุ่มถูกป้อนข้อมูลที่ตรงกันข้าม เช่น ที่อิสราเอล บางโรงเรียนสอนว่า ปาเลสไตน์รุกรานอิสราเอล ทั้งที่ความจริงคืออิสราเอลรุกรานปาเลสไตน์ ในกัมพูชา โรงเรียนสอนว่าไทยขโมยดินแดนของเขา ส่วนในไทย โรงเรียนก็สอนว่ากัมพูชาขโมยดินแดนของไทย ***มุมมองแบบคนธรรมดา*** ถ้าคุณเป็นคนไทย คุณก็จะพูดว่า “ถูกต้อง! เราเรียนมาถูกต้องแล้ว” แต่ถ้าลองมองใน ***มุมของคาบาล*** " นี่คือสถานการณ์ในฝันสำหรับการแบ่งแยกแล้วปกครอง" การควบคุมการรับรู้ของมนุษย์ คาบาลทำมาต่อเนื่องเป็นสิบ ๆ ปี ความขัดแย้งถูกสร้างบนรอยแยกทางศาสนา ความเชื่อ ชาติ เพศ สีผิว และ ข้อมูลข่าวสาร การศึกษา ลองดูทุกสงครามที่ผ่านมาครับ อิรัก ลิเบีย ปาเลสไตน์ อัฟกานิสถาน ฯลฯ พวกเขาทั้งหมดถูกเกลียดชังว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ถูกกล่าวหาว่ามีอาวุธนิวเคลียร์ แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เจออะไรเลย ดูที่กาซา/ปาเลสไตน์ อิสราเอลรุกรานปาเลสไตน์ แต่ในปี 2023 มีการจัดฉากขึ้น ฝ่ายนักรบที่ผมเรียกว่า “ฝ่ายที่สาม” ได้รับ “อนุญาต” ให้บุกอิสราเอล แล้วปาเลสไตน์ถูกมองเป็นตัวร้าย ทั้งโลกก็สนับสนุนการทิ้งระเบิดของอิสราเอล ฆ่าสตรี เด็ก คนบริสุทธิ์ พวกเขาทิ้งระเบิดโรงพยาบาลเด็ก และไม่มีใครพูดอะไร เพราะอิสราเอลถูกมองว่าเป็นฝ่ายดี ปกป้องอธิปไตย ในเดือนพฤพาคมที่ผ่านมา มีการยิงพลเรือนคนอินเดีย 16 คน และอินเดียก็ถล่มปากีสถานอย่างรุนแรง หนักที่สุดตั้งแต่การแยกประเทศใน 1971 จนถึงวันนี้ ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนยิง สำหรับผม มันคือ “ฝ่ายที่สาม” ที่จุดชนวนสงคราม สงครามหลายครั้งไม่ได้เริ่มจากความขัดแย้งตรงระหว่างประเทศ แต่เกิดจาก “มือที่สาม” บุคคลหรือกลุ่ม หรือนักการเมืองเองที่รับใช้พวกคาบาล ที่จงใจจุดชนวนความรุนแรงขึ้นมา เมื่อไฟเริ่มติด อารมณ์ของผู้คนจึงถูกปลุกเร้า ถูกดึงเข้า อย่างเลี่ยงไม่ได้ เราจะเห็นได้ชัดว่านักการเมืองทั้งเป็นตัวต้นเหตุ ทั้งในอิสราเอล สหรัฐ/ตะวันออกกลาง ไทย/กัมพูชา และอีกมากมาย พวกเขาบิดเบือนความคิดให้เรายอมรับสงครามได้ อย่างที่เรียนไป มันยากมากที่จะเริ่มสงคราม ถ้าประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลตนเองไม่ให้ก่อสงคราม เราอาจมีความหวังเล็กน้อยที่จะชะลอหรือหยุดสงคราม ถ้าเรารวมพลังกันได้ เหมือนตอนเสื้อแดงกับเสื้อเหลืองในไทย เรารู้ดีว่าทางออกเดียวคือความสามัคคี และเราก็รู้ว่าทั้งสองฝ่ายถูกป้อนข้อมูลที่ต่างกัน บ่อยครั้งตรงกันข้าม เพื่อสร้างความแตกแยก เรื่องเดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นในระดับนานาชาติ คนไทยกับคนกัมพูชาต้องเข้าใจความจริง เราต้องรักกัน ช่วยเหลือกัน เพราะในที่สุด สงครามนี้จะลุกลามใหญ่โต และจะไม่มีใครปลอดภัย และนั่นคือเหตุผลที่ผมเขียนโพสต์ก่อนหน้าใน Facebook ว่าทุกวันนี้คนเกลียดกันมาก อารมณ์ของผู้คนพุ่งสูงขึ้น — ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่สิ่งที่คาบาลต้องการก็คือ...การที่เราใช้อารมณ์ตอบสนอง + เหตุผล ดีๆ ต่างๆ เช่นเราต้องปกป้องอธิปไตย ซึ่งถูกต้อง ...ประเด็นคือ พวกคาบาลเขาวางแผนมาดี วางแผนในมันเกิดเหตุการแบบนี้ เขาสร้างสถานการ ให้เรามีเหตุผลดีๆ เยอะแยะครับ ให้เราเชื่อว่า สงครามถูกต้องแล้ว เขาพาเราจนมุม เรากำลังถูกคาบาลเล่นงานครับ ขั้นตอนที่ 2: จุดชนวนสงคราม (“ผู้ร้าย” “ผู้ปกป้อง”) เพื่อเริ่มสงคราม และให้ขั้นตอนที่ 1 ตอกย้ำวนลูป พวกเขาจะเริ่มจากสงครามเล็กๆ แล้วค่อยๆ ขยายเป็นสงครามใหญ่ สงครามจะรุนแรงขึ้นตามการตอบสนองของสาธารณชน ใช่ มันฟังดูเหมือนเรื่องตลก แต่มันคือความจริง และมันเกิดขึ้นจริงตอนที่คนอเมริกันประท้วงทรัมป์ที่ไปสนับสนุนการทิ้งระเบิดอิหร่าน จนทรัมป์ต้องชะลอ ถ้าคุณมองภาพรวมกว้างๆ คุณจะเห็น “ขั้นบันได” ที่นำไปสู่ขั้นตอนที่ 2 นี้ ตามข้อมูลจาก Uppsala เป็นหน่วยงานที่ติดตามความขัดแย้งทั่วโลก ในปี 2024 เป็นปีที่มีความขัดแย้งมากที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 มีความขัดแย้งมากกว่า 61 จุด มี 92 ประเทศเข้าร่วม ปีนี้มี อินเดีย/ปากีสถาน อิสราเอล/อิหร่าน/สหรัฐฯ และไทย/กัมพูชา และจะมีอีกหลังจากไทย/กัมพูชา ปี 2025 รุนแรงกว่าปี 2024 อีก สงครามเพื่อนบ้านเหล่านี้ถูกออกแบบมาให้เป็น “การสตาร์ทเครื่อง” ตอนนี้พวกเขาจะยิงกันเมื่อไหร่ฏ้ได้ ได้แทบทุกเวลา มันคือการสตาร์ทเครื่องรอขั้นตอนที่ 3 ขั้นตอนที่ 3: ตั้งพันธมิตร ประเทศต่างชาติจะเริ่มเข้ามามีบทบาทในความขัดแย้ง พวกเขาจะไม่เข้ามาแบบโจ่งแจ้งทันที แต่จะค่อยๆ เข้ามาทีละนิด อย่างมีชั้นเชิงและตามแผนที่ถูกวางไว้ล่วงหน้าแล้วทุกขั้นตอน การแสดงตัวของแต่ละประเทศในตอนแรกอาจดูเหมือนเพียงแค่การแสดงความคิดเห็นหรือการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แต่เบื้องหลังคือการ “เลือกข้าง” และการจัดวางตำแหน่งของตัวเองในเวทีสงครามที่ใหญ่ขึ้น ประเทศที่มีอำนาจจะเริ่มจับกลุ่ม แบ่งฝ่าย และสร้างพันธมิตรทางทหาร เศรษฐกิจ และการเมือง ตัวอย่างเช่น ถ้าประเทศหนึ่งเปิดฉากโจมตีอีกประเทศหนึ่ง ประเทศที่อยู่ในพันธมิตรฝั่งตรงข้ามจะอ้างสิทธิ์ในการเข้าแทรกแซงในนามของการปกป้องพันธมิตรของตน และเมื่อประเทศนั้นเข้ามา ก็จะเป็นการเปิดประตูให้ประเทศอื่นๆ ในเครือพันธมิตรเดียวกันเข้าร่วมด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากความขัดแย้งระดับท้องถิ่น ก็จะกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างภูมิภาค และในไม่ช้า จะลุกลามไปสู่เวทีระดับโลก ที่ซึ่ง “ทีม” หรือ “ฝ่าย” ต่าง ๆ ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ พร้อมชนกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งหมดนี้คือขั้นตอนเตรียมการก่อนนำไปสู่จุดสุดท้าย: สงครามโลกครั้งที่ 3 อย่างเต็มรูปแบบ ขั้นตอนที่ 4: สงครามโลกครั้งที่ 3 อย่างเต็มรูปแบบ เมื่อเรามาถึงจุดนี้ เราจะรู้ว่าเราทำผิดพลาดในขั้นตอนที่ 1 เราจะเสียดายช่วงเวลาที่เรายังพอทำอะไรได้ เราจะเริ่มคิดอะไรๆ ได้ เพราะตอนนี้ทำอะไรไม่ทันแล้ว เราควรหยุดสนับสนุนสงครามแบบไม่รู้ตัว ไว้ตั้งแต่ต้น แต่ตอนนี้ทุกอย่างถูกทำลายแล้ว สิ่งเดียวที่เราจะร้องขอคือชีวิตและอาหาร เราไม่สนอะไรแล้ว เราเสียทุกอย่าง ผู้คนนับล้านตาย และในตอนนั้น New World Order ถูกติดตั้งขึ้น กดขี่คนที่รอดชีวิต คนที่ตายไปแล้วก็จบ คนที่เหลืออยู่ถูกทำให้เป็นทาสในระบบ หนึ่งโลกหนึ่งรัฐบาล ในไม่ช้ารัฐบาลทั่วโลกจะเริ่มถูกโจมตีว่าไม่ดี (ซึ่งก็จริง) แล้วจะเป็นข้ออ่างให้มีเพียง 1 รัฐบาล ... คาบาลฉลาด เห็นไหมครับ คาบาลส์ไม่ได้สร้างสงครามนี้ขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง สิ่งที่เกิดขึ้นบางครั้งก็เกิดจากความไม่รู้ของผู้คน ที่ถูกชักนำอย่างแนบเนียนให้เข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการนี้โดยไม่ทันระวัง ลองเปิดโซเชี้ยลแล้วดูแต่ละคลิปที่ออกมาครับ เป็นการสารความสามัคคีหรือเกลียดชังแบ่งแยก แม้จะเป็นคลิปตลกก็ตาม เหมือนภูเขาน้ำแข็ง กลุ่ม อีลุมินาติ Illuminati เหล่านี้ซ่อนตัวอยู่ พวกเขาคือรัฐบาลถาวร เราไม่รู้จักชื่อพวกเขา พวกเขาไม่ออกทีวี แต่ถืออำนาจอยู่เบื้องหลัง และมีตัวแทนที่ทำตามแผน เช่น ทักษิณ ฮุนเซน ทรัมพ์ เนตันยาฮู หลายคนคิดว่าพวกเขามีอำนาจ แต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นแค่ปลายภูเขาน้ำแข็ง อีลุมินาติ ต้องการสงคราม เพราะจำเป็นสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ นิว เวิลด์ ออร์เดอร์ New World Order พวกเขาอยู่ทุกที่ ทั้งในกัมพูชา ในไทย พวกเขาสร้างปัญหา แต่สำหรับสายตาสาธารณะ เราคิดว่า คนกัมพูชาไม่ดี ตอนนี้พวกเรามีทางเลือก เราจะช่วยกันสร้าง คอนเท้นต์ เขียนคอมเม้นท์ ที่สร้างความสามัคคี ปรับความเข้าใจเพื่อนมนุษย์ ไม่ส่งเสริมคอนเท้นต์ ที่สร้างความขัดแย้ง/แตกแยก หรือ จะช่วงคาบาลบรรลุขั้นตอนที่ 1 สู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ... เป็นทางเลือกที่เราทุกคนมี (เพียงในช่วงระยะเวลาสั้นๆนี้) ขอบพระคุณที่ท่านอ่านมาจนจบครับ หากผมเขียนผิดพลาดประการได ขออภัยด้วยครับ Credit : FB : Adithep Chawla #siamstr #nostr
เรากำลังอยู่ในขั้นที่ 2 ของสงครามโลกครั้งที่ 3 - (Mass psychosis) การยอมรับสงคราม - จุดชนวนสงคราม - ตั้งพันธมิตร - สงครามโลกครั้งที่ 3 เต็มรูปแบบ ทำไมพวกเขาถึงต้องการสงคราม? สงครามถูกวางแผนมานานหลายทศวรรษ โลกนี้ถูกควบคุมโดยคาบาลหรืออิลูมินาติ คนเหล่านี้ควบคุมนักการเมือง สื่อ รวมถึงสื่อไทย ระบบการศึกษา ธนาคาร กองทัพ กฎหมาย ทั้งหมด และทำงานในโครงสร้างแบ่งส่วนอย่าง ( Compartmentalize) เข้มงวดจากบนลงล่าง ดังนั้น สิ่งแรกที่ผมอยากบอกคือ นักการเมืองเหล่านี้ไม่มีอำนาจจริง พวกเขาเป็นพนักงานระดับต่ำในโครงสร้างอำนาจของคาบาล [แสดงพีระมิดโครงสร้างอำนาจ] คาบาล คือคนจำนวนน้อยที่ควบคุมโลกนี้ ข้อได้เปรียบสำคัญคือความรู้ที่ใช้ควบคุมมนุษยชาติ ความรู้เรื่องระบบการเงิน สุขภาพ เทคโนโลยี และที่สำคัญที่สุดคือ… ความรู้เรื่องความเป็นจริงของโลก/เมทริคซ์… พลังงาน และพวกเขาเข้าใจจิตวิทยามนุษย์อย่างลึกซึ้ง เพื่อการควบคุมเรา คนเหล่านี้มีจำนวนน้อย พวกเขาทำงานโดยควบคุมการรับรู้ ใช่ครับ พวกเขาควบคุมการรับรู้ของเราโดยที่เราไม่รู้ตัว การรับรู้ที่เราเข้าใจว่าเป็นของเราเองจริง ๆ นั้น ถูกควบคุมผ่านสื่อ กาารศึกษา ศาสนา เป็นต้น บางอย่างในระดับจิตใต้สำนึก เพื่อแบ่งแยกแล้วปกครอง (divide and rule) มีรัฐบาลอยู่สองประเภท รัฐบาลถาวร และรัฐบาลที่เราเลือกในแต่ละประเทศ โครงสร้างอำนาจที่เราเห็น เป็นภาพลวงตา เราคิดว่ารัฐมนตรีหรือประธานาธิบดีมีอำนาจสูงสุด แต่ไม่ใช่เลย พวกเขาอยู่ต่ำสุดในโครงสร้างอำนาจที่แท้จริง รัฐบาลที่เราเห็นคือชนชั้นแรงงานในโครงสร้างอำนาจของคาบาล ตัวอย่างใกล้ตัวเช่น จีนเข้าควบคุมเศรษฐกิจไทยได้อย่างไร แต่ไม่มีใครทำอะไร นั่นเพราะคาบาลอนุญาต และโครงสร้างอำนาจลับของพวกเขาอนุญาตให้เกิดเรื่องนี้ ลองสังเกตครับว่า นายกรัฐมนตรีวันนี้/สมัยนี้ ไม่ฉลาดแค่ไหน คุณเคยสงสัยไหมว่าพวกเขาได้เป็นนายกอย่างไร… เพราะรัฐบาลถาวรที่มีอำนาจจริง อยากให้คนเหล่านี้ขึ้นมาปฏิบัติภารกิจของโลก ประเทศไทยคือหนึ่งในประเทศที่ถูกควบคุมโดยคาบาล คาบาลอยู่ในทุกประเทศทั่วโลก ลองย้อนกลับไปดูในช่วงโควิด ครับ วันนี้เนื้อหาหลักคือสงครามโลกครั้งที่ 3 รวมทั้งสงครามไทย-กัมพูชา คาบาลต้องการสงคราม เพราะเรากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากระบอบประชาธิปไตยไปสู่เทคโนแครซี ทุกอย่างถูกควบคุมด้วยเทคโนโลยี เช่น AI การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทั่วทั้งโลก รวมถึงกฎหมาย การศึกษา สุขภาพ การขนส่ง อาหาร สิทธิมนุษยชน… ทุกสิ่งกำลังเคลื่อนไปสู่การควบคุมรวมผ่านเทคโนโลยี เพื่อให้เปลี่ยนผ่านได้ คาบาลไม่สามารถบอกเราตรง ๆ ว่าเรากำลังเคลื่อนสู่ที่ไหน พวกเขาจึงใช้การโกหก หลอกลวง และความเชื่อเท็จเพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในนาม 'การพัฒนา' ตัวอย่าง: * การกล่าวเรื่องภาวะโลกร้อน - เพื่อผลักดันรถดิจิทัล - ลิดรอนวิถีชีวิตเสรี (ควบคุมการใช้พลังงาน เช่น Net Zero) - Carbon Credit (สิ้นสุดรายได้อิสระ เพราะ SMEs จะล้มเหลว และเราต้องพึ่งพา UBI (เงินพื้นฐานสากล)) - Carbon footprint ใช้เพื่อติดตามเรา 24 ชั่วโมง เพราะการตรวจวัดร่องรอยคาร์บอนคือการติดตามทุกหน่วยพลังงานที่เราใช้ ข้อมูลถูกบันทึกบน blockchain * การแพร่ระบาดปลอม (Fake Pandemic) - เพื่อสร้างเมือง 15 นาที (15-minute cities) หรือสิ่งที่บางคนเรียกว่า “ล็อกดาวน์ถาวร” - เพื่อเปลี่ยนกฎหมาย เช่น IHR และที่เกี่ยวข้องคือการฉีดวัคซีนต่อเนื่องให้มนุษย์ที่มี graphene oxide, เทคโนโลยีตัดต่อยีน และนาโนบ็อต ยังมีอีกมากที่กำลังเกิดขึ้น เช่น Smart City, AI, เงินดิจิทัล, GMO ดิจิทัล ID และอื่น ๆ … แต่วันนี้เราพูดถึงสงคราม สงครามเป็นเหตุการณ์จำเป็นสำหรับคาบาล เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่กฎหมายหรือวิธีอื่นไม่สามารถทำได้ เขาเรียกว่า constructive destruction ก็เหมือน เมื่อคุณมีที่ดินพร้อมบ้านและต้องการสร้างตึกใหม่ มีทางเดียวคือทำลายบ้านหลังเดิม “สงครามโลกครั้งที่ 1 กับการล่มสลายของราชวงศ์: จุดจบของโลกเก่า” และจุดเริ่มต้นของ คอมมิวนิสต์ และ ประชาธิปไตย (ช่องทางการไปมีอำนาจของคาบาลในทุกประเทศทั่วโลก) สงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่ได้เป็นแค่การนองเลือดในสนามรบ แต่มันคือการ ‘รื้อถอน’ โลกเก่า ราชวงศ์ที่เคยปกครองมายาวนานนับร้อยปี ถูกโค่นลงในเวลาไม่ถึงทศวรรษ อาณาจักรใหญ่ ๆ พังทลาย ประเทศใหม่ถือกำเนิด และแนวคิดเรื่อง ‘รัฐชาติ’ ถูกเขียนขึ้นใหม่โดยผู้ชนะ” 🔶 1. จักรวรรดิออตโตมัน – สิ้นสุดความเป็นผู้นำโลกอิสลาม** ออตโตมันเคยปกครองโลกมุสลิมกว่า 600 ปี ครอบคลุมตุรกี ปาเลสไตน์ อิรัก ซีเรีย แอฟริกาเหนือ หลังสงคราม ถูกแบ่งโดยสนธิสัญญา Sykes–Picot ไม่มีการถามประชาชน ปี 1924 ระบบคาลิฟะห์ถูกยกเลิก — โลกอิสลามแตกเป็นรัฐเล็กอ่อนแอ ใต้อาณานิคมตะวันตก 🔶 2. จักรวรรดิรัสเซีย – ล่มสลายซาร์ กำเนิดคอมมิวนิสต์** จักรวรรดิรัสเซียปกครองโดยราชวงศ์โรมานอฟกว่า 300 ปี สงครามทำให้เศรษฐกิจพัง ประชาชนอดอยาก ปี 1917 เกิดการปฏิวัติ ราชวงศ์ถูกล้ม พรรคบอลเชวิคก่อตั้งสหภาพโซเวียต และระบอบคอมมิวนิสต์ — กลายเป็นศัตรูอุดมการณ์ของโลกตะวันตก 🔶 3. จักรวรรดิเยอรมัน – ล้มจักรพรรดิ สูญอำนาจ** เยอรมนีภายใต้ไกเซอร์วิลเฮล์มที่ 2 มีอำนาจสูงมาก หลังพ่ายแพ้ ต้องลงนามสนธิสัญญาแวร์ซายส์ เสียเงิน เสียดินแดน ราชวงศ์สิ้นสุด กลายเป็น “สาธารณรัฐไวมาร์” — ปูทางให้ฮิตเลอร์ขึ้นสู่อำนาจ 🔶 4. ออสโตร–ฮังการี – แตกเป็นรัฐเล็ก** จักรวรรดิที่รวมเชื้อชาติหลากหลาย ถูกแยกหลังสงคราม ราชวงศ์ฮัปส์บวร์กล่ม ประเทศใหม่เกิดหลายแห่ง เช่น ออสเตรีย ฮังการี เชโกสโลวาเกีย — จากจักรวรรดิเดียวกลายเป็นรัฐเล็กอ่อนแอ ถูกมหาอำนาจชักใย 🧩 บทสรุป: สงครามโลกครั้งที่ 1 คือ “การรื้อถอนระบบกษัตริย์ทั่วโลก” “ราชวงศ์โบราณถูกล้ม อาณาจักรถูกแบ่งเป็นรัฐย่อย ผู้นำทางศาสนาถูกตัดขาด ประเทศเกิดใหม่ไร้ราก… พร้อมถูกออกแบบใหม่ด้วยมือของผู้ชนะ” และทั้งหมดนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มันคือการ ออกแบบโลกใหม่ โดยไม่มีอำนาจดั้งเดิมขัดขวางอีกต่อไป คาบาลวางแผนสงครามโลกไว้ 3 รอบ รอบที่สองคือ การรวมอำนาจในกลุ่มคน ที่น้อยลง หรือ Power Centralization สงครามโลกครั้งที่ 2 คือโศกนาฏกรรมของมนุษยชาติ แต่คุณรู้ไหมว่า…หลังจากสงครามจบ โลกไม่ได้แค่ถูกสร้างใหม่ — มันถูก ออกแบบใหม่ทั้งระบบ ไปดู 10 ระบบที่เกิดขึ้นหลังสงคราม และกลายเป็นเครื่องมือควบคุมโลกที่แทบไม่มีใครรู้ทัน 🔷 1. องค์การสหประชาชาติ (UN) – รัฐบาลโลกที่สวมหน้ากากสันติภาพ ก่อนสงคราม: ประเทศต่าง ๆ จัดการปัญหาของตนเอง ไม่มีเวทีสากลที่มีอำนาจชี้นำจริงจัง หลังสงคราม: UN ถูกก่อตั้งเพื่อ “รักษาสันติภาพ” แต่จริง ๆ แล้ว เป็นเวทีรวมอำนาจระดับโลก ผ่านองค์กรลูก เช่น WHO, UNESCO, UNHCR กลไกควบคุม: กำหนดนโยบายระดับโลก เช่น วัคซีน การศึกษา ภูมิอากาศ ชาติสมาชิกต้องปรับกฎหมายให้สอดคล้อง เป้าหมายของพวกเขา: หากไม่มี UN การออกกฎระเบียบระดับโลกเป็นไปได้ยาก แต่เมื่อมี UN พวกเขามีเวทีบงการนโยบายโลกผ่าน “ฉันทามติ” 🔷 2. กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) – ควบคุมโลกด้วยหนี้ ก่อนสงคราม: ประเทศต่าง ๆ จัดการการเงินด้วยตนเอง ไม่มีใครมากำหนดเศรษฐกิจจากภายนอก หลังสงคราม: IMF ก่อตั้งเพื่อ “รักษาเสถียรภาพการเงิน” แต่เงินกู้ที่ให้มา มีเงื่อนไขรัดคอ กลไกควบคุม: ประเทศที่เป็นหนี้ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของ IMF กลายเป็นประเทศลูกหนี้ที่ไร้ทางเลือก เป้าหมายของพวกเขา: หากไม่มี IMF ประเทศเล็ก ๆ อาจพัฒนาได้อย่างอิสระ แต่เมื่อมี IMF ก็เหมือนติดคุกการเงินตลอดไป ทุกวันนี้เศษกิจโลกถูกควบคุม ให้ดีหรือแย่ได้ 🔷 3. ธนาคารโลก – พัฒนา หรือ พัง? ก่อนสงคราม: โครงการสาธารณูปโภคอยู่ภายใต้รัฐ เพื่อประโยชน์ของประชาชน หลังสงคราม: ธนาคารโลกให้เงินกู้สร้างถนน เขื่อน โรงไฟฟ้า — แต่บริษัทตะวันตกเป็นผู้ได้งาน และนโยบายที่แนบมากับเงินกู้ก็คือ เปิดตลาด ขายสมบัติชาติ กลไกควบคุม: ประเทศต้องยอมรับนโยบายการค้าเสรี เปิดให้ทุนต่างชาติเข้าถึงทรัพยากรในประเทศ เป้าหมายของพวกเขา: หากไม่มีธนาคารโลก พวกเขาควบคุมทิศทางการพัฒนาไม่ได้ แต่เมื่อมี พวกเขากำหนดอนาคตของประเทศต่าง ๆ ได้ตามใจ 🔷 4. สหภาพยุโรป (EU) – รวมประเทศ กลืนอธิปไตย ก่อนสงคราม: ยุโรปมีหลายประเทศ หลายสกุลเงิน และมีนโยบายของตนเอง หลังสงคราม: เริ่มจากข้อตกลงถ่านหิน กลายเป็นสหภาพยุโรป มีรัฐสภากลาง สกุลเงินเดียว (ยูโร) และกฎหมายร่วม กลไกควบคุม: กฎหมายของอียูมีผลเหนือกฎหมายในประเทศ การตัดสินใจในระดับชาติถูกจำกัด เป้าหมายของพวกเขา: หากไม่มีอียู พวกเขาต้องต่อรองกับแต่ละประเทศ แต่เมื่อมีศูนย์กลางในบรัสเซลส์ ทุกอย่างอยู่ในมือเดียว 🔷 5. นาโต้ (NATO) – พันธมิตร หรือ ตำรวจโลก? ก่อนสงคราม: พันธมิตรทางทหารมีแบบชั่วคราว ไม่ถาวร หลังสงคราม: นาโต้ถูกจัดตั้งเพื่อต้านโซเวียต แต่แม้โซเวียตจะล่มสลาย นาโต้ก็ยังขยายและเข้าครอบงำประเทศอื่นต่อ กลไกควบคุม: สมาชิกต้องสนับสนุนนโยบายสหรัฐฯ ยอมให้ตั้งฐานทัพ ซื้ออาวุธ และร่วมสงคราม เป้าหมายของพวกเขา: หากไม่มีนาโต้ การทำสงครามหรือแทรกแซงต้องเจรจา แต่เมื่อมีนาโต้ ก็มีเครื่องมือพร้อมรบตลอดเวลา 🔷 6. GATT → WTO – ค้าขายโลกใต้กฎของพวกเขา ก่อนสงคราม: ประเทศสามารถตั้งภาษี ปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศได้ หลังสงคราม: GATT กลายเป็น WTO กำหนดกติกาการค้าโลก — ถ้าไม่ทำตามอาจโดนฟ้องร้องจากบริษัทยักษ์ใหญ่ กลไกควบคุม: ประเทศสูญเสียสิทธิในการห้ามสินค้าที่อันตรายหรือปกป้องเกษตรกรในประเทศ เป้าหมายของพวกเขา: หากไม่มี WTO บริษัทข้ามชาติไม่สามารถเจาะตลาดโลกได้สะดวก แต่เมื่อมีกฎกลาง พวกเขาควบคุมทุกอย่าง บริษัทระดับโลกทั้งหลายล้วนแล้วเป็นของพวกคาบาล 🔷 7. CIA & NSA – รัฐเงากับการควบคุมข้อมูล ก่อนสงคราม: หน่วยข่าวกรองมีขอบเขตจำกัด แค่ในประเทศ หลังสงคราม: CIA และ NSA กลายเป็นองค์กรที่มีอำนาจระดับโลก จัดฉากรัฐประหาร ปั่นข่าว และสอดแนมประชาชน กลไกควบคุม: ควบคุมสื่อ การเมือง และกระแสสังคมทั่วโลก เป้าหมายของพวกเขา: หากไม่มี CIA/NSA ข้อมูลจะกระจายอิสระ แต่ด้วยหน่วยข่าวกรอง พวกเขาควบคุมความจริงได้ 🔷 8. การก่อตั้งอิสราเอล – จุดไฟตะวันออกกลาง ก่อนสงคราม: ตะวันออกกลางมีหลายชาติหลากวัฒนธรรม แต่ยังไม่มีจุดขัดแย้งที่ควบคุมไม่ได้ หลังสงคราม: อิสราเอลถูกก่อตั้งกลางภูมิภาคน้ำมัน สร้างความขัดแย้งต่อเนื่องไม่สิ้นสุด กลไกควบคุม: ความขัดแย้งทำให้มหาอำนาจแทรกแซงภูมิภาคได้ตลอดเวลา เหมือนที่ไทย/กัมพูชากำลังจะถูก เป้าหมายของพวกเขา: หากไม่มีความขัดแย้งในตะวันออกกลาง พวกเขาจะไม่มีเหตุผลในการคุมแหล่งพลังงานของโลก แต่เรื่องนี้มีมากกว่านั้น ไว้เล่าให้ฟังครับ 🔷 9. ระบบปิโตรดอลลาร์ – น้ำมันแลกดอลลาร์ ก่อนสงคราม: น้ำมันซื้อขายได้หลายสกุลเงิน ระบบเงินตราอิงทองคำ หลังสงคราม: สหรัฐฯ ทำข้อตกลงให้ซาอุขายน้ำมันด้วยดอลลาร์เท่านั้น ทุกประเทศจึงต้องถือเงินดอลลาร์ไว้ กลไกควบคุม: ความต้องการเงินดอลลาร์เพิ่มขึ้น สหรัฐสามารถพิมพ์เงินใช้เองโดยไม่มีผลกระทบ เป้าหมายของพวกเขา: หากไม่มีปิโตรดอลลาร์ สหรัฐจะสูญเสียอำนาจทางการเงินระดับโลก 🔷 10. อุตสาหกรรมสงคราม – ความขัดแย้งคือกำไร ก่อนสงคราม: หลังสงคราม กองทัพและอุตสาหกรรมทหารจะลดขนาด หลังสงคราม: เกิด “อุตสาหกรรมสงครามถาวร” ที่ต้องมีศัตรูตลอดเวลาเพื่อหมุนเงินเข้าสู่บริษัทอาวุธ แน่นอนครับที่ลืมไม่ได้! ต้องมีหัวข้อที่ 11 – WEF (World Economic Forum) 🔶 World Economic Forum (WEF) – คณะรัฐมนตรีเงาของชนชั้นนำโลก ก่อตั้ง: ค.ศ. 1971 โดย Klaus Schwab แต่แนวคิดขององค์กรนี้ฝังรากอยู่ในโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และอุดมการณ์ของ Bretton Woods 🕰️ ก่อนมี WEF ก่อนหน้านั้น นักธุรกิจและนักการเมืองระดับสูงมักประชุมลับ ๆ เช่น กลุ่ม Bilderberg แต่ยังไม่มีเวทีสาธารณะที่เปิดเผยว่า “ชนชั้นนำทั่วโลกกำลังวางแผนอนาคตร่วมกัน” 🌍 หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น? WEF กลายเป็นเวที “กลาง” ที่บรรดาผู้นำประเทศ มหาเศรษฐี บริษัทเทคโนโลยี และสื่อมวลชนมาเจอกันทุกปีที่เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ โดยอ้างว่าเพื่อ “แก้ปัญหาโลก” แต่ในความจริง มันคือเวทีที่แนวคิดระดับโลกถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า ก่อนจะถูกนำไปปฏิบัติจริงในแต่ละประเทศ 🔒 กลไกควบคุม: WEF ไม่ออกกฎหมาย แต่ใช้พลัง “แนวคิด” — โดยสร้างกระแส เช่น The Great Reset (การรีเซ็ตโลก) ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล) Stakeholder Capitalism (ทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสีย) รัฐบาลและบริษัทใหญ่ต่างรับเอาแนวคิดเหล่านี้ไปใช้อย่างรวดเร็ว ราวกับมีการเตรียมการไว้แล้ว 💼 ทำไมพวกเขาต้องมี WEF? ถ้าไม่มี WEF ชนชั้นนำทั่วโลกจะเคลื่อนไหวอย่างไร้ทิศทาง แต่เมื่อมี WEF ทุกคนก็ “เดินเกมเดียวกัน” เหมือนสั่งงานผ่านภาคเอกชนและภาครัฐทั่วโลก 🎯 11 ระบบหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สร้างโครงข่ายอำนาจข้ามชาติที่ไม่มีใครตรวจสอบ แต่วันนี้ WEF ได้กลายเป็นศูนย์กลางความคิดของระบบนั้น — ชี้นำโลกด้วยคำหวาน ภายใต้แผนการที่ไม่มีใครเลือกได้...นอกจากพวกเขา เช่นเดียวกัน เพื่อต่อจาก Old World Order สู่ New World Order คุณต้องทำลายโลกเก่า ไม่มีทางเลือกอื่น และนั่นคือเหตุผลที่คาบาลต้องการ สงครามโลกครั้ง ที่ 3 ผลลัพธ์ของสงครามนี้คือการสิ้นสุดของประเทศ และตั้งรัฐบาลโลกเดียว ใช่ครับ คุณอ่านไม่ผิด ไม่มีประเทศอีกต่อไป New World Order คือรัฐบาลขั้วเดียวของโลก ประชากรถูกควบคุมไม่ใช่โดยประเทศ แต่โดยซูเปอร์สเตต เรากำลังก้าวสู่ยุคที่ควบคุมด้วยเทคโนโลยี เข้มงวด และกฎหมายไม่เป็นธรรมที่ถูกผ่าน เช่น Carbon Credit และ IHR ทุกประเทศที่เรารู้จักจะไม่เหมือนเดิม พวกเขาจะแบ่งเราเป็นซูเปอร์สเตต และ 5 ชนชั้น และควบคุมผ่าน AI ผมรู้ว่าคุณอาจกำลังส่ายศรีศระ… และคิดว่า… "คนนี้บ้าไปแล้ว? เป็นไปไม่ได้หรอก " คุณเห็นไหมครับ? ก็เพราะมันเป็นไปไม่ได้หรอกสงครามถึงสำคัญ สงครามจำเป็นเพื่อเปลี่ยนวิถีชีวิตเดิมที่หยั่งรากลึก สู่วิถีใหม่ที่ผู้คนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะเมื่อพวกเขาระเบิดทุกอย่างจนวินาศ เราจะไม่ต้องการอะไรแล้ว ขอเพียงชีวิตและอาหาร เพราะพวกเขาทำลายทุกสิ่ง สงครามครั้งนี้ถูกสร้างบนพื้นฐานของ “ผู้ร้าย” กับ “ผู้ปกป้อง” สงครามแห่งความขัดแย้งที่ถูกออกแบบ ภาพลวงตา สงครามในโลกยุคใหม่… ไม่ใช่การปะทะของอุดมการณ์ ไม่ใช่การปกป้องชาติ แต่คือการแสดงละครขนาดใหญ่ — ที่เขียนบทไว้ล่วงหน้าโดยอำนาจเบื้องหลังโลก แน่นอน บทละครนี้เขียนบนพื้นฐานความรักชาติของประชาชนและทหารที่ต้องการปกป้องชาติ เรามาดูภาพใหญ่กันก่อนดีไหมครับ สงครามโลกครั้งที่ 3 นี้ถูกออกแบบให้ชาติตะวันตกสู้กับชาติอิสลาม โดยจะรวมชาติอิสลามกับประเทศตะวันออกเช่นจีน แล้วให้รัสเซียร่วมทีมด้วย ผลลัพธ์ที่ถูกวางแผนของสงครามนี้คือ การล้มสลายของอำนาจตะวันตก ซึ่งจะไปอยู่ในมือของประเทศจีน และนั่นคือเหตุผลที่ในรอบ 30 ปี จีนกลายเป็น “โรงงานของโลก” รวมถึงระบบการปกครองแบบ Technocracy (ซึ่งก็คือการควบคุมหรือปกครองโดย AI) ถูกทดลองใช้ในจีน ซึ่งจะถูกนำไปใช้ทั่วโลก สงครามครั้งนี้ถูกสร้างบนพื้นฐานของ “ผู้ร้าย” กับ “ผู้ปกป้อง” ที่ว่านี้คือ 🧠 ยุให้เกิดเรื่อง (โดยฝั่งที่ดู “อ่อนแอ”)... ⚔️ ตอบโต้แบบรุนแรง (ที่เตรียมไว้แล้ว)... 🎭 สร้างภาพ "ผู้ร้าย" กับ "ผู้ปกป้อง"... 🎯 เป้าหมายแท้จริง ...สงคราม... วิธีการเริ่มสงครามโลกครั้งที่ 3 การจะเริ่มสงครามโลก มี 4 ขั้นตอนหลัก ๆ ที่ต้องทำ: 1. ปรับอารมณ์มวลชน การยอมรับสงคราม (พลังงานต่ำอย่างมหาศาล) 2. จุดชนวนสงคราม/ความขัดแย้ง ประเทศใกล้กัน (“ผู้ร้าย” “ผู้ปกป้อง”) 3. จัดตั้งพันธมิตร 4. สงครามโลกครั้งที่ 3 อย่างเต็มรูปแบบ --- ขั้นตอนที่ 1: ปรับอารมณ์มวลชน การยอมรับสงคราม เพราะสงครามเป็นสิ่งที่ไม่มีใครต้องการ มันยากมากที่จะเริ่มสงคราม ถ้าประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลตนเองไม่ให้ก่อสงคราม ถ้าคนกัมพูชาตำหนิรัฐบาลของเขา และคนไทยตำหนิรัฐบาลของเขา กองทัพ นักการเมือง และผู้มีอำนาจของทั้งสองประเทศจะไม่สามารถเริ่มสงครามได้ง่าย ๆ ดังนั้นจึงสำคัญมากที่ต้องสร้างความเกลียดชังระหว่างประชาชน และสร้างฉากว่าอีกฝ่ายผิด อีกฝ่ายถูก ประชาชนแต่ละกลุ่มถูกป้อนข้อมูลที่ตรงกันข้าม เช่น ที่อิสราเอล บางโรงเรียนสอนว่า ปาเลสไตน์รุกรานอิสราเอล ทั้งที่ความจริงคืออิสราเอลรุกรานปาเลสไตน์ ในกัมพูชา โรงเรียนสอนว่าไทยขโมยดินแดนของเขา ส่วนในไทย โรงเรียนก็สอนว่ากัมพูชาขโมยดินแดนของไทย ***มุมมองแบบคนธรรมดา*** ถ้าคุณเป็นคนไทย คุณก็จะพูดว่า “ถูกต้อง! เราเรียนมาถูกต้องแล้ว” แต่ถ้าลองมองใน ***มุมของคาบาล*** " นี่คือสถานการณ์ในฝันสำหรับการแบ่งแยกแล้วปกครอง" การควบคุมการรับรู้ของมนุษย์ คาบาลทำมาต่อเนื่องเป็นสิบ ๆ ปี ความขัดแย้งถูกสร้างบนรอยแยกทางศาสนา ความเชื่อ ชาติ เพศ สีผิว และ ข้อมูลข่าวสาร การศึกษา ลองดูทุกสงครามที่ผ่านมาครับ อิรัก ลิเบีย ปาเลสไตน์ อัฟกานิสถาน ฯลฯ พวกเขาทั้งหมดถูกเกลียดชังว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ถูกกล่าวหาว่ามีอาวุธนิวเคลียร์ แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เจออะไรเลย ดูที่กาซา/ปาเลสไตน์ อิสราเอลรุกรานปาเลสไตน์ แต่ในปี 2023 มีการจัดฉากขึ้น ฝ่ายนักรบที่ผมเรียกว่า “ฝ่ายที่สาม” ได้รับ “อนุญาต” ให้บุกอิสราเอล แล้วปาเลสไตน์ถูกมองเป็นตัวร้าย ทั้งโลกก็สนับสนุนการทิ้งระเบิดของอิสราเอล ฆ่าสตรี เด็ก คนบริสุทธิ์ พวกเขาทิ้งระเบิดโรงพยาบาลเด็ก และไม่มีใครพูดอะไร เพราะอิสราเอลถูกมองว่าเป็นฝ่ายดี ปกป้องอธิปไตย ในเดือนพฤพาคมที่ผ่านมา มีการยิงพลเรือนคนอินเดีย 16 คน และอินเดียก็ถล่มปากีสถานอย่างรุนแรง หนักที่สุดตั้งแต่การแยกประเทศใน 1971 จนถึงวันนี้ ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนยิง สำหรับผม มันคือ “ฝ่ายที่สาม” ที่จุดชนวนสงคราม สงครามหลายครั้งไม่ได้เริ่มจากความขัดแย้งตรงระหว่างประเทศ แต่เกิดจาก “มือที่สาม” บุคคลหรือกลุ่ม หรือนักการเมืองเองที่รับใช้พวกคาบาล ที่จงใจจุดชนวนความรุนแรงขึ้นมา เมื่อไฟเริ่มติด อารมณ์ของผู้คนจึงถูกปลุกเร้า ถูกดึงเข้า อย่างเลี่ยงไม่ได้ เราจะเห็นได้ชัดว่านักการเมืองทั้งเป็นตัวต้นเหตุ ทั้งในอิสราเอล สหรัฐ/ตะวันออกกลาง ไทย/กัมพูชา และอีกมากมาย พวกเขาบิดเบือนความคิดให้เรายอมรับสงครามได้ อย่างที่เรียนไป มันยากมากที่จะเริ่มสงคราม ถ้าประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลตนเองไม่ให้ก่อสงคราม เราอาจมีความหวังเล็กน้อยที่จะชะลอหรือหยุดสงคราม ถ้าเรารวมพลังกันได้ เหมือนตอนเสื้อแดงกับเสื้อเหลืองในไทย เรารู้ดีว่าทางออกเดียวคือความสามัคคี และเราก็รู้ว่าทั้งสองฝ่ายถูกป้อนข้อมูลที่ต่างกัน บ่อยครั้งตรงกันข้าม เพื่อสร้างความแตกแยก เรื่องเดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นในระดับนานาชาติ คนไทยกับคนกัมพูชาต้องเข้าใจความจริง เราต้องรักกัน ช่วยเหลือกัน เพราะในที่สุด สงครามนี้จะลุกลามใหญ่โต และจะไม่มีใครปลอดภัย และนั่นคือเหตุผลที่ผมเขียนโพสต์ก่อนหน้าใน Facebook ว่าทุกวันนี้คนเกลียดกันมาก อารมณ์ของผู้คนพุ่งสูงขึ้น — ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่สิ่งที่คาบาลต้องการก็คือ...การที่เราใช้อารมณ์ตอบสนอง + เหตุผล ดีๆ ต่างๆ เช่นเราต้องปกป้องอธิปไตย ซึ่งถูกต้อง ...ประเด็นคือ พวกคาบาลเขาวางแผนมาดี วางแผนในมันเกิดเหตุการแบบนี้ เขาสร้างสถานการ ให้เรามีเหตุผลดีๆ เยอะแยะครับ ให้เราเชื่อว่า สงครามถูกต้องแล้ว เขาพาเราจนมุม เรากำลังถูกคาบาลเล่นงานครับ ขั้นตอนที่ 2: จุดชนวนสงคราม (“ผู้ร้าย” “ผู้ปกป้อง”) เพื่อเริ่มสงคราม และให้ขั้นตอนที่ 1 ตอกย้ำวนลูป พวกเขาจะเริ่มจากสงครามเล็กๆ แล้วค่อยๆ ขยายเป็นสงครามใหญ่ สงครามจะรุนแรงขึ้นตามการตอบสนองของสาธารณชน ใช่ มันฟังดูเหมือนเรื่องตลก แต่มันคือความจริง และมันเกิดขึ้นจริงตอนที่คนอเมริกันประท้วงทรัมป์ที่ไปสนับสนุนการทิ้งระเบิดอิหร่าน จนทรัมป์ต้องชะลอ ถ้าคุณมองภาพรวมกว้างๆ คุณจะเห็น “ขั้นบันได” ที่นำไปสู่ขั้นตอนที่ 2 นี้ ตามข้อมูลจาก Uppsala เป็นหน่วยงานที่ติดตามความขัดแย้งทั่วโลก ในปี 2024 เป็นปีที่มีความขัดแย้งมากที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 มีความขัดแย้งมากกว่า 61 จุด มี 92 ประเทศเข้าร่วม ปีนี้มี อินเดีย/ปากีสถาน อิสราเอล/อิหร่าน/สหรัฐฯ และไทย/กัมพูชา และจะมีอีกหลังจากไทย/กัมพูชา ปี 2025 รุนแรงกว่าปี 2024 อีก สงครามเพื่อนบ้านเหล่านี้ถูกออกแบบมาให้เป็น “การสตาร์ทเครื่อง” ตอนนี้พวกเขาจะยิงกันเมื่อไหร่ฏ้ได้ ได้แทบทุกเวลา มันคือการสตาร์ทเครื่องรอขั้นตอนที่ 3 ขั้นตอนที่ 3: ตั้งพันธมิตร ประเทศต่างชาติจะเริ่มเข้ามามีบทบาทในความขัดแย้ง พวกเขาจะไม่เข้ามาแบบโจ่งแจ้งทันที แต่จะค่อยๆ เข้ามาทีละนิด อย่างมีชั้นเชิงและตามแผนที่ถูกวางไว้ล่วงหน้าแล้วทุกขั้นตอน การแสดงตัวของแต่ละประเทศในตอนแรกอาจดูเหมือนเพียงแค่การแสดงความคิดเห็นหรือการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แต่เบื้องหลังคือการ “เลือกข้าง” และการจัดวางตำแหน่งของตัวเองในเวทีสงครามที่ใหญ่ขึ้น ประเทศที่มีอำนาจจะเริ่มจับกลุ่ม แบ่งฝ่าย และสร้างพันธมิตรทางทหาร เศรษฐกิจ และการเมือง ตัวอย่างเช่น ถ้าประเทศหนึ่งเปิดฉากโจมตีอีกประเทศหนึ่ง ประเทศที่อยู่ในพันธมิตรฝั่งตรงข้ามจะอ้างสิทธิ์ในการเข้าแทรกแซงในนามของการปกป้องพันธมิตรของตน และเมื่อประเทศนั้นเข้ามา ก็จะเป็นการเปิดประตูให้ประเทศอื่นๆ ในเครือพันธมิตรเดียวกันเข้าร่วมด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากความขัดแย้งระดับท้องถิ่น ก็จะกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างภูมิภาค และในไม่ช้า จะลุกลามไปสู่เวทีระดับโลก ที่ซึ่ง “ทีม” หรือ “ฝ่าย” ต่าง ๆ ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ พร้อมชนกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งหมดนี้คือขั้นตอนเตรียมการก่อนนำไปสู่จุดสุดท้าย: สงครามโลกครั้งที่ 3 อย่างเต็มรูปแบบ ขั้นตอนที่ 4: สงครามโลกครั้งที่ 3 อย่างเต็มรูปแบบ เมื่อเรามาถึงจุดนี้ เราจะรู้ว่าเราทำผิดพลาดในขั้นตอนที่ 1 เราจะเสียดายช่วงเวลาที่เรายังพอทำอะไรได้ เราจะเริ่มคิดอะไรๆ ได้ เพราะตอนนี้ทำอะไรไม่ทันแล้ว เราควรหยุดสนับสนุนสงครามแบบไม่รู้ตัว ไว้ตั้งแต่ต้น แต่ตอนนี้ทุกอย่างถูกทำลายแล้ว สิ่งเดียวที่เราจะร้องขอคือชีวิตและอาหาร เราไม่สนอะไรแล้ว เราเสียทุกอย่าง ผู้คนนับล้านตาย และในตอนนั้น New World Order ถูกติดตั้งขึ้น กดขี่คนที่รอดชีวิต คนที่ตายไปแล้วก็จบ คนที่เหลืออยู่ถูกทำให้เป็นทาสในระบบ หนึ่งโลกหนึ่งรัฐบาล ในไม่ช้ารัฐบาลทั่วโลกจะเริ่มถูกโจมตีว่าไม่ดี (ซึ่งก็จริง) แล้วจะเป็นข้ออ่างให้มีเพียง 1 รัฐบาล ... คาบาลฉลาด เห็นไหมครับ คาบาลส์ไม่ได้สร้างสงครามนี้ขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง สิ่งที่เกิดขึ้นบางครั้งก็เกิดจากความไม่รู้ของผู้คน ที่ถูกชักนำอย่างแนบเนียนให้เข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการนี้โดยไม่ทันระวัง ลองเปิดโซเชี้ยลแล้วดูแต่ละคลิปที่ออกมาครับ เป็นการสารความสามัคคีหรือเกลียดชังแบ่งแยก แม้จะเป็นคลิปตลกก็ตาม เหมือนภูเขาน้ำแข็ง กลุ่ม อีลุมินาติ Illuminati เหล่านี้ซ่อนตัวอยู่ พวกเขาคือรัฐบาลถาวร เราไม่รู้จักชื่อพวกเขา พวกเขาไม่ออกทีวี แต่ถืออำนาจอยู่เบื้องหลัง และมีตัวแทนที่ทำตามแผน เช่น ทักษิณ ฮุนเซน ทรัมพ์ เนตันยาฮู หลายคนคิดว่าพวกเขามีอำนาจ แต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นแค่ปลายภูเขาน้ำแข็ง อีลุมินาติ ต้องการสงคราม เพราะจำเป็นสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ นิว เวิลด์ ออร์เดอร์ New World Order พวกเขาอยู่ทุกที่ ทั้งในกัมพูชา ในไทย พวกเขาสร้างปัญหา แต่สำหรับสายตาสาธารณะ เราคิดว่า คนกัมพูชาไม่ดี ตอนนี้พวกเรามีทางเลือก เราจะช่วยกันสร้าง คอนเท้นต์ เขียนคอมเม้นท์ ที่สร้างความสามัคคี ปรับความเข้าใจเพื่อนมนุษย์ ไม่ส่งเสริมคอนเท้นต์ ที่สร้างความขัดแย้ง/แตกแยก หรือ จะช่วงคาบาลบรรลุขั้นตอนที่ 1 สู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ... เป็นทางเลือกที่เราทุกคนมี (เพียงในช่วงระยะเวลาสั้นๆนี้) ขอบพระคุณที่ท่านอ่านมาจนจบครับ หากผมเขียนผิดพลาดประการได ขออภัยด้วยครับ Credit: FB : Adithep Chawla #siamstr
I’m a doctor and bitcoiner